Category Archives: ทักษะการอ่าน
ความสำคัญของการสอนเรื่องมิตรภาพ
.
1. การแบ่งปัน – ก้าวแรกของมิตรภาพ
.
2. การเคารพความแตกต่างของผู้อื่น
.
3. การฟังและการสื่อสารอย่างสุภาพ
.
4. การขอโทษและการแก้ไขข้อผิดพลาด
.
5. การเล่นร่วมกันและการมีส่วนร่วม
.
บทสรุป
1. ยอมรับตัวเองและเริ่มต้นทีละเล็กทีละน้อย
2. ฝึกยิ้มและทักทายเป็นประจำ
3. สนใจและใส่ใจผู้อื่นอย่างจริงใจ
4. ฝึกทักษะการฟังอย่างตั้งใจ
5. กล้าขอความช่วยเหลือและคำปรึกษา
6. เปิดใจรับประสบการณ์และผู้คนใหม่ๆ
7. มองหาจุดร่วมและสิ่งที่สนใจคล้ายกัน
8. อย่ากลัวความผิดพลาดและให้อภัยตัวเอง
9. สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและผ่อนคลาย
.
10. เชื่อมั่นในตัวเองและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
1. ยิ้มให้กับทุกคน
2. ทักทายด้วยความจริงใจ
3. ฟังอย่างตั้งใจ
4. แสดงความเห็นอกเห็นใจ
5. ให้ความช่วยเหลือเมื่อเพื่อนต้องการ
6. หาเวลามาทำกิจกรรมร่วมกัน
7. รู้จักการให้อภัย
8. เคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น
9. แบ่งปันและเผื่อแผ่
10. รักและเป็นตัวของตัวเอง
หลายคนคงรู้จักนิทานเรื่อง กระต่ายกับเต่า กันเป็นอย่างดี ที่เต่าน้อยท้าชนกระต่ายจอมเก๋าปะทะความเร็ว ถึงแม้จะรู้ตัวว่าวิ่งช้ากว่ากระต่ายมาก แต่ด้วย ความมั่นใจ และมุ่งมั่น ส่งผลให้เต่าเป็นฝ่ายชนะในที่สุด นี่คือบทเรียน การเลี้ยงลูก ที่ช่วยปลูกฝังให้ลูกกล้าลองผิดลองถูก ไม่กลัวความล้มเหลว พร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่เสมอ
ความมั่นใจเป็นรากฐานสำคัญที่พ่อแม่ควร สร้างให้ลูก ตั้งแต่เล็ก เพื่อให้เขากล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ อย่าปล่อยให้ลูกขาดความเชื่อมั่น กลัวการถูกตำหนิจนไม่กล้าแสดงออก ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาว ดังนั้นพ่อแม่ควรทำตามเคล็ดลับเหล่านี้
- ชื่นชมและให้กำลังใจลูกเสมอ แม้จะทำผิดพลาดก็ตาม ให้มองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้พัฒนาตัวเอง อย่าตำหนิหรือลงโทษเกินเหตุ
- หมั่นถามความเห็นลูก ฟังในสิ่งที่เขาพูด แสดงให้เขารู้ว่าคุณให้คุณค่ากับความคิดของเขา จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง
- ฝึกให้ลูกกล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เช่น จะรับประทานอาหารอะไรดี จะใส่เสื้อผ้าแบบไหน เพื่อให้เขารู้สึกว่าสามารถควบคุมและจัดการสถานการณ์ได้
- ไม่ตัดสินลูกด้วยคำพูดในแง่ลบ เช่น “ทำไมลูกถึงทำแบบนี้นะ” “แย่จัง ลูกทำได้แค่นี้เอง” ให้เปลี่ยนเป็น “ลูกลองทำแบบนี้ดูสิ” หรือ “ลูกพยายามได้ดีมากแล้ว”
- กระตุ้นให้ลูกลองทำสิ่งใหม่ๆ เสี่ยงบ้าง แม้อาจล้มเหลวก็ไม่เป็นไร เพราะเป็น ประสบการณ์ สำคัญที่จะทำให้เขาเติบโตและเข้มแข็งขึ้น
- เป็นแบบอย่างที่ดี โดยทำตัวให้ลูกเห็นว่าเรากล้าตัดสินใจ ไม่กลัวความผิดพลาด จะช่วยสร้างบรรยากาศในบ้านให้ลูกซึมซับและเลียนแบบพฤติกรรมเราได้
ถึงแม้ลูกจะทำอะไรพลาดพลั้งบ้าง เราต้องให้เขารู้ว่า ความล้มเหลว ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย แต่เป็นบทเรียนสอนให้เราปรับปรุงและเก่งขึ้นได้ในอนาคต สิ่งสำคัญคือเราต้องเชื่อมั่นในตัวลูก ให้โอกาสเขาได้ลองผิดลองถูกอย่างอิสระ ไม่ตัดสินหรือด่วนสรุป แต่คอยให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ เป็นที่ปรึกษาเมื่อลูกต้องการ จะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง และพร้อมเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมั่นใจ
ดังนั้น ใน การเลี้ยงลูกให้มีความมั่นใจ และกล้าคิดกล้าทำนั้น พ่อแม่มีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นฐานตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยการชื่นชมและสนับสนุนลูกอย่างเต็มที่ เป็นที่พึ่งให้คำปรึกษา ไม่ตัดสินเมื่อลูกทำผิดพลาด แต่ให้มองเป็นโอกาสในการเรียนรู้ จะช่วยหล่อหลอมให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เชื่อมั่นในตัวเอง พร้อมลุกขึ้นสู้ได้เสมอ เหมือนดั่งเต่าน้อยตัวอย่างในนิทานที่เราเห็นกัน
กิจกรรมเสริมฝึกลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง
1. การชื่นชมและให้กำลังใจ
การชื่นชมและให้กำลังใจลูกเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้าง ความมั่นใจในตนเอง เมื่อเห็นความพยายามของลูกในการทำสิ่งต่าง ๆ แม้ผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่หวัง เราควรชื่นชมและให้กำลังใจเขา เช่น “ลูกพยายามได้ดีมากแล้ว” การชื่นชมไม่ควรมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว แต่ควรเน้นที่กระบวนการและความพยายามที่ลูกทำ การให้กำลังใจเมื่อลูกเผชิญกับความล้มเหลว เช่น “ไม่เป็นไรนะลูก เราลองใหม่ได้” จะช่วยให้เขามองว่าความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการตำหนิหรือลงโทษเกินเหตุ ซึ่งอาจทำให้ลูกสูญเสียความมั่นใจและกลัวการทำผิดพลาด การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสนับสนุนจะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นอย่างมั่นใจและพร้อมเผชิญกับความท้าทายในชีวิต
2. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
การให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้าง ความมั่นใจในตนเอง ให้ลูกได้เลือกทำกิจกรรมที่ต้องการ เช่น การเลือกหนังสือที่จะอ่าน การเลือกของเล่น หรือการตัดสินใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน การที่ลูกได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจจะทำให้เขารู้สึกว่ามีคุณค่าและความสำคัญในครอบครัว เช่น ให้ลูกเลือกเสื้อผ้าที่ต้องการใส่เอง การให้ลูกเลือกทำกิจกรรมต่าง ๆ ยังช่วยพัฒนาทักษะการตัดสินใจและการแก้ไขปัญหา พ่อแม่ควรให้คำแนะนำและสนับสนุนลูกในกระบวนการนี้ แต่ไม่ควรควบคุมหรือบังคับให้ลูกทำตามความคิดเห็นของเราเสมอไป การให้ลูกมีโอกาสในการตัดสินใจจะช่วยให้เขารู้สึกว่ามีความสามารถในการควบคุมและจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
3. การทำกิจกรรมใหม่ ๆ
การฝึกให้ลูกทำกิจกรรมใหม่ ๆ เป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความมั่นใจและการเรียนรู้ เช่น การปั่นจักรยานในพื้นที่ปลอดภัย เป็นกิจกรรมที่สนุกและท้าทาย ซึ่งจะช่วยให้ลูกได้พัฒนาทักษะทางกายและความมั่นใจในการลองสิ่งใหม่ ๆ นอกจากนี้ การวาดรูปยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ลูกได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และความรู้สึก การให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น การเล่นเกมส์ปริศนา การแก้ปัญหา จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ พ่อแม่ควรให้กำลังใจและสนับสนุนลูกในการลองทำกิจกรรมใหม่ ๆ และไม่ควรตำหนิหากลูกทำผิดพลาด การที่ลูกได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้เขามีประสบการณ์ที่หลากหลายและเติบโตขึ้นอย่างมั่นใจ
4. การแสดงออกทางคำพูดและการแสดง
การฝึกให้ลูกแสดงออกทางคำพูดและการแสดงเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้าง ความมั่นใจในตนเอง ให้ลูกได้เล่านิทานให้พ่อแม่ฟังเป็นการฝึกการแสดงออกและความมั่นใจในการพูด การที่ลูกได้เล่านิทานจะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารและการคิดอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ การเล่นบทบาทสมมติ เช่น การสวมบทบาทเป็นคุณหมอหรือคุณครู จะช่วยให้ลูกได้ฝึกการแสดงออกและการตัดสินใจ การที่ลูกได้ลองเล่นบทบาทต่าง ๆ จะช่วยให้เขาเรียนรู้การแก้ไขปัญหาและการทำงานร่วมกับผู้อื่น พ่อแม่ควรสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสนับสนุนการแสดงออกของลูก โดยไม่ควรตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์เกินควร การให้ลูกได้แสดงออกอย่างอิสระจะช่วยเสริมสร้าง ความมั่นใจในตนเอง และความสามารถในการสื่อสาร
5. การฝึกให้มีความรับผิดชอบ
การฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า การมอบหมายงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ลูกทำ เช่น การเก็บของเล่น การรดน้ำต้นไม้ จะช่วยให้ลูกได้ฝึกความรับผิดชอบและรู้สึกภูมิใจในตนเอง นอกจากนี้ การให้ลูกมีส่วนร่วมในการดูแลสัตว์เลี้ยง เช่น การให้อาหาร หรือการทำความสะอาดที่นอนของสัตว์เลี้ยง จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการดูแลและรับผิดชอบสิ่งต่าง ๆ พ่อแม่ควรให้คำแนะนำและสนับสนุนลูกในการทำงานบ้านและการดูแลสัตว์เลี้ยง โดยไม่ควรทำแทนหรือควบคุมเกินไป การให้ลูกได้ฝึกทำงานที่มีความรับผิดชอบจะช่วยให้เขามีทักษะในการจัดการและการดูแลตนเอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตในอนาคต
6. การส่งเสริมกิจกรรมกลุ่ม
การให้ลูกได้ทำกิจกรรมกลุ่มเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความมั่นใจและทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ส่งเสริมให้ลูกเล่นกับเพื่อน ๆ ในกิจกรรมที่มีการแบ่งหน้าที่กัน จะช่วยให้ลูกเรียนรู้การทำงานเป็นทีมและเพิ่มความมั่นใจในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เช่น การเล่นกีฬา การเข้าร่วมงานเทศกาล นอกจากนี้ การพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน เช่น งานเทศกาล กิจกรรมกีฬา จะช่วยให้ลูกได้มีโอกาสพบปะและทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ การที่ลูกได้ทำกิจกรรมกลุ่มจะช่วยให้เขามีทักษะในการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น พ่อแม่ควรสนับสนุนและให้กำลังใจลูกในการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม และไม่ควรบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่ไม่ชอบ การให้ลูกมีโอกาสในการทำกิจกรรมกลุ่มจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและทักษะทางสังคม
เรื่องราวของ “เด็กหญิงไม้ขีดไฟ“ เป็นนิทานอมตะที่แฝงด้วยแง่คิดและกระตุ้นจินตนาการ ถึงแม้จะผ่านมานานนับศตวรรษแล้ว แต่พลังของมันก็ยังส่องประกายเจิดจ้าอยู่ในใจของผู้คนมากมาย
–
มาดูกันว่า เหล่าบุคคลสำคัญที่เราคุ้นเคยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ไมเคิล เอ็นเด ผู้เขียนนิยาย “เพิ่มทักษะการอ่านอย่างไม่รู้ตัว” บอกว่าเขาหลงใหลนิทานของแอนเดอร์เซนตั้งแต่เด็ก และ “เด็กหญิงไม้ขีดไฟ” ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการเขียนของเขา
ฮิโรชิเกะ อาราคาวะ ผู้กำกับอนิเมจากญี่ปุ่น ก็นำเนื้อเรื่องไปสร้างเป็นอนิเมชั่นที่ได้เข้าชิงออสการ์
เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้สร้างแฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็เล่าว่านิทานเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเธอมาก จนเป็นแรงผลักดันให้เธอมีความฝันอยากเป็นนักเขียนในวัยเด็ก
ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ผู้แต่งเรื่องนี้เอง ก็เผยว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเด็กยากจนตัวจริงที่เขาพบเจอ
เออิจิ โยชิคาวะ ผู้สร้าง “คิโนะ โนะ ทาบิ” ก็บอกว่าตัวละครเอกของเขาได้รับอิทธิพลจากเด็กหญิงคนนี้เช่นกัน
ที่น่าทึ่งคือ แม้แต่ มาดอนน่า นักร้องดังชาวอเมริกัน ก็ยังชื่นชอบความงดงามทางภาษาของเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก และมักอ่านให้ลูกๆ ฟังอยู่เสมอ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นถึงพลังของนิทาน ที่แม้จะดูธรรมดา แต่กลับสร้างแรงกระเพื่อมทางความคิด กระตุ้นจินตนาการ และปลูกฝังแง่คิดดีๆ ให้กับผู้คนได้อย่างกว้างขวาง ข้ามกาลเวลาและยุคสมัย
เพื่อนๆ เด็กๆ ทุกคน ถ้าวันหนึ่งเราได้อ่านเรื่องราวดีๆ จงอย่าลืมซึมซับมันเอาไว้ให้ดี เพราะใครจะรู้ มันอาจกลายเป็นประกายไฟเล็กๆ ที่นำทางเราสู่ความฝัน สร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้นะ
10 เรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจจากนิทาน “เด็กหญิงไม้ขีดไฟ”
- “การมองเห็นความสวยงามในยามทุกข์” – นิทานนี้สอนให้เราเห็นว่า แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราก็ยังสามารถพบเห็นความงดงามและความหวังได้
- “พลังของจินตนาการ” – เด็กหญิงใช้จินตนาการเพื่อหลีกหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้าย สะท้อนให้เห็นว่าจินตนาการสามารถช่วยเยียวยาจิตใจได้
- “ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ด้อยโอกาส” – เรื่องนี้กระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงชีวิตของผู้ยากไร้และเกิดความเห็นอกเห็นใจ
- “ความกล้าหาญท่ามกลางอุปสรรค” – แม้จะเผชิญกับความหนาวเย็นและความหิวโหย เด็กหญิงก็ยังพยายามขายไม้ขีดไฟต่อไป
- “คุณค่าของครอบครัว” – ภาพของย่าที่ปรากฏในนิมิตของเด็กหญิงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความรักในครอบครัว
- “การเห็นคุณค่าในสิ่งเล็กน้อย” – ไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียวสามารถสร้างความอบอุ่นและความสุขให้กับเด็กหญิงได้ สอนให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
- “ความเชื่อมโยงระหว่างโลกและจิตวิญญาณ” – การที่เด็กหญิงได้พบกับย่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างโลกนี้และโลกหน้า
- “การวิพากษ์สังคม” – เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม และกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามต่อระบบที่เป็นอยู่
- “ความสำคัญของการเล่าเรื่อง” – นิทานนี้แสดงให้เห็นว่าการเล่าเรื่องที่ทรงพลังสามารถสร้างผลกระทบต่อผู้คนได้แม้ผ่านไปหลายศตวรรษ
- “การเห็นความงามในความเศร้า” – แม้จะเป็นเรื่องเศร้า แต่นิทานนี้ก็มีความงดงามในการบรรยายและการสื่อความหมาย สอนให้เราเห็นว่าแม้แต่ในความโศกเศร้าก็ยังมีความงามซ่อนอยู่
แต่ละประเด็นเหล่านี้สามารถนำไปขยายความและยกตัวอย่างเพิ่มเติมได้ เพื่อสร้างบทความที่ให้แง่คิดและสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้อ่านทุกวัยครับ
ลูกนอนไม่หลับ? ลองวิธีนี้เลย!
ปัญหา ลูกนอนไม่หลับ เป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนต้องเผชิญ เนื่องจากทารกและเด็กเล็กต้องการการนอนหลับอย่างเพียงพอเพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดี การขาดการนอนหลับพักผ่อนอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย อารมณ์ และการเรียนรู้ของลูกน้อยได้ ดังนั้น จึงมีวิธีการดังต่อไปนี้ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปลองปรับใช้
สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและมืดสนิท
- ควรควบคุมระดับเสียงรบกวนจากภายนอกห้องนอนของลูก เช่น เสียงโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ หรือเสียงรถยนต์จากถนน เนื่องจากเสียงดังอาจทำให้ลูกตื่นหรือนอนไม่หลับ
- จำกัดแสงสว่างในห้องนอน เช่น ปิดม่านหรือพรมให้มิดชิด เพราะแสงสว่างมากเกินไปจะรบกวนการนอนหลับของลูก
รักษาสภาพห้องให้เย็นสบาย
- อุณหภูมิห้องที่เหมาะสมสำหรับการนอนหลับอยู่ที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส เป็นช่วงอุณหภูมิที่ทำให้ลูกรู้สึกสบาย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
- พิจารณาใช้พัดลมหรือเครื่องปรับอากาศเพื่อรักษาอุณหภูมิห้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
จัดตารางนอนให้เป็นเวลา
- พยายามให้ลูกนอนหลับในช่วงเวลาเดิมทุกคืน โดยปรับให้เข้านอนราว ๆ เวลาเดียวกันทุกวัน
- การมีกิจวัตรการนอนที่สม่ำเสมอจะช่วยฝึกให้ร่างกายของลูกรู้จังหวะการนอนหลับ และทำให้ง่ายต่อการนอนหลับในเวลาดังกล่าว
- สำหรับเด็กเล็ก อาจต้องให้นอนหลับก่อนเวลา 21.00 น. เพื่อให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
สร้างกิจวัตรก่อนนอน
- จัดกิจกรรมผ่อนคลายก่อนนอนเป็นประจำ เช่น อาบน้ำอุ่น นวดตัว สวดมนต์หรือ ฟังนิทาน ฟังเพลงเบาๆ เป็นต้น
- กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย เครียดน้อยลง และเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ตื่นเต้นหรือกระตุ้นประสาทมากเกินไปก่อนนอน เช่น เล่นเกมที่มีเสียงดังหรือแสงสว่างจ้า
งดเล่นมือถือ/ดูทีวีก่อนนอน
- แสงสีน้ำเงินจากหน้าจอ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือทีวี จะกระตุ้นระบบประสาทไม่ให้ง่วงนอนได้
- ควรงดกิจกรรมเหล่านี้อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาผ่อนคลายและเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ
- สำหรับเด็กโต อาจอนุญาตให้ดูทีวีหรือเล่นมือถือก่อนนอนได้บ้าง แต่ต้องจำกัดเวลาและควบคุมให้อยู่ห่างจากแสงสว่างก่อนนอนพอสมควร
ให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
- การออกกำลังกายทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยล้าในระดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สามารถนอนหลับได้ง่ายและสนิทขึ้น
- อย่างไรก็ตาม ไม่ควรออกกำลังกายหนักเกินไปใกล้ๆ เวลานอน ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายกระตุ้นมากเกินไปจนนอนไม่หลับ
- สามารถให้ลูกออกกำลังอย่างเบาๆ เช่น เดิน ปั่นจักรยาน วิ่งเหยาะๆ หรือเล่นอย่างสนุกสนาน
หากลูกยังคงนอนไม่หลับ
- พิจารณาให้นมหรืออาหารเสริมก่อนนอน เนื่องจากการดื่มนมอาจทำให้ลูกรู้สึกอิ่มและง่วงนอนมากขึ้น
- อุ้มหรือโยกเยกลูกไปมาเบาๆ พร้อมร้องเพลงกล่อมหรือพูดคุย เพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกสงบและง่วงนอน
- อาจแนะนำให้ลูกจับตุ๊กตาหรือผ้าห่มที่คุ้นเคย เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยและช่วยในการนอนหลับ
การนอนหลับพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูก หากปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอแล้วลูกยังคงนอนไม่หลับเป็นประจำ อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมต่อไป.
แหล่งอ้างอิง
- วารสารการแพทย์ของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (Thai Journal of Pediatrics)
-เป็นวารสารทางการแพทย์ที่มีบทความวิชาการและงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กโดยผู้เชี่ยวชาญ
-มีบทความเกี่ยวกับปัญหาการนอนไม่หลับในเด็กและวิธีการจัดการ - American Academy of Pediatrics (https://www.healthychildren.org/)
-เว็บไซต์ขององค์กรแพทย์เด็กชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
-มีคำแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการดูแลสุขภาพเด็กในหลายๆ ด้าน รวมถึงการนอนหลับ - หนังสือ “Healthy Sleep Habits, Happy Child” โดย Marc Weissbluth, M.D.
-เป็นหนังสือเกี่ยวกับการนอนหลับในเด็กที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือได้
-ผู้เขียนเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับในเด็ก - เว็บไซต์กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (https://www.dmh.go.th/)-
-มีข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการนอนหลับที่ดีสำหรับเด็กในหมวดสุขภาพจิต
-เป็นแหล่งข้อมูลจากหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือ - วารสารวิชาการคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol Journal of Tropical Medicine)
-เป็นวารสารด้านการแพทย์ที่มีบทความวิจัยและบทความวิชาการที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ
-มีบทความที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพและการนอนหลับในเด็ก
แหล่งอ้างอิงเหล่านี้ล้วนมาจากผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ จึงสามารถให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับประกอบในบทความเรื่อง การแก้ปัญหาลูกนอนไม่หลับ
การทำให้เวลาเข้านอนของเด็กๆ กลายเป็นช่วงเวลาที่น่ารอคอย อาจดูเป็นความท้าทายสำหรับหลายๆ ครอบครัว แต่การสร้างประสบการณ์ก่อนนอนที่มีความสุขและสงบสุขสามารถช่วยให้เด็กๆ นอนหลับได้ดีขึ้นและมีพฤติกรรมเชิงบวกมากขึ้นในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะแนะนำวิธีที่จะทำให้ช่วงเวลาก่อนนอนกลายเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ จะตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ และพร้อมที่จะนอนหลับอย่างสงบ
สร้างบรรยากาศการนอนที่อบอุ่นและสบาย
การสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการนอนเป็นสิ่งสำคัญ การทำให้ห้องนอนเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและน่าพักผ่อนสามารถช่วยให้เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ลองปรับแสงในห้องให้ไม่สว่างเกินไป หรือใช้ไฟกลางคืนที่นุ่มนวลเพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบ นอกจากนี้ การปรับอุณหภูมิห้องให้อบอุ่นหรือเย็นสบายก็มีความสำคัญเช่นกัน
การใช้เสียงและกลิ่นเพื่อช่วยให้เด็กผ่อนคลาย เช่น เสียงน้ำไหลเบาๆ หรือกลิ่นลาเวนเดอร์ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกสงบและพร้อมที่จะเข้านอน
กำหนดกิจวัตรที่สม่ำเสมอ
การมีตารางเวลาที่ชัดเจนและสม่ำเสมอก่อนนอนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ เพราะพวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยและคาดหวังได้ว่าหลังจากทำสิ่งต่างๆ ตามลำดับแล้วก็จะถึงเวลานอน ซึ่งอาจประกอบด้วยกิจกรรมง่ายๆ เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน และฟังนิทานก่อนนอน การทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำๆ ทุกคืนจะทำให้เด็กๆ รู้สึกมั่นคงและพร้อมที่จะนอนหลับ
เปลี่ยนช่วงเวลาก่อนนอนให้เป็นเวลาสนุก
ไม่ใช่ว่าช่วงก่อนนอนจะต้องเงียบสงบตลอดเวลา บางครั้งการสร้างความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ ก่อนนอนจะทำให้เด็กๆ อยากเข้ามาในห้องนอนมากขึ้น ลองสร้างเวลาสนุกด้วยการเล่านิทานเรื่องโปรดที่เด็กชอบ หรือเล่นเกมง่ายๆ ที่ไม่กระตุ้นมากเกินไป เช่น การเล่านิทานด้วยเงามือ หรือร้องเพลงกล่อมก่อนนอน
การทำให้ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เด็กได้ใช้เวลากับพ่อแม่หรือผู้ปกครองจะทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันและปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้พวกเขานอนหลับได้ง่ายขึ้น
ลดเวลาอยู่หน้าจอและกิจกรรมที่กระตุ้นก่อนนอน
การใช้เวลากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือทีวี ก่อนนอนอาจส่งผลให้เด็กๆ นอนหลับยากขึ้น เนื่องจากแสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอสามารถรบกวนฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมการนอนหลับได้ ดังนั้นการจำกัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนประมาณ 1-2 ชั่วโมงจะช่วยให้เด็กนอนหลับง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นทางอารมณ์และจิตใจมากเกินไป เช่น การเล่นเกมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายมาก หรือการดูภาพยนตร์ที่ตื่นเต้นเกินไป เปลี่ยนเป็นการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายมากขึ้น เช่น การวาดภาพระบายสี หรือการพูดคุยสบายๆ กับพ่อแม่
ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
การนำเทคนิคการผ่อนคลายมาใช้ก่อนนอนสามารถช่วยให้เด็กๆ สงบลงและเตรียมตัวสำหรับการนอนหลับได้ง่ายขึ้น เช่น การสอนเด็กๆ ให้หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกช้าๆ เพื่อช่วยให้หัวใจผ่อนคลาย หรือการทำโยคะเบาๆ สำหรับเด็กๆ การฝึกเทคนิคการผ่อนคลายเหล่านี้จะทำให้เด็กๆ เริ่มเรียนรู้วิธีการจัดการกับความตึงเครียดและการพักผ่อนใจ
การนวดเบาๆ ที่แขนหรือขาของเด็กก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้พวกเขาผ่อนคลายและพร้อมที่จะนอนหลับอย่างสบาย
ใช้การเสริมแรงทางบวกเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมการนอนที่ดี
หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้เด็กๆ อยากไปนอนคือการใช้การเสริมแรงทางบวก เช่น การสร้างระบบรางวัลหรือใช้ตารางเวลานอนที่มีสติ๊กเกอร์หรือตราให้เมื่อเด็กทำตามกิจวัตรการนอนได้ดี การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ หรือการชมเชยจะทำให้เด็กมีแรงจูงใจที่จะทำตามกิจวัตรก่อนนอนและไปนอนตรงเวลา
ลองใช้กิจกรรมง่ายๆ เช่น การให้เด็กติดสติ๊กเกอร์ลงในตารางหลังจากที่เขาทำกิจกรรมก่อนนอนครบทุกข้อ หรือการให้ของรางวัลพิเศษเล็กๆ หากพวกเขานอนหลับเองได้โดยไม่งอแง
สรุปว่า
การทำให้ช่วงเวลาก่อนนอนกลายเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ รอคอยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก หากเราเข้าใจว่าการนอนหลับที่ดีเกิดจากการสร้างบรรยากาศที่สงบ กำหนดกิจวัตรที่สม่ำเสมอ และทำให้การเข้านอนกลายเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานและผ่อนคลาย การใช้การเสริมแรงทางบวกจะช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ มีพฤติกรรมการนอนที่ดี และพร้อมที่จะนอนหลับอย่างมีความสุขในทุกๆ คืน
1. รับฟังด้วยใจจริง
2. แสดงความเห็นอกเห็นใจ
3. ให้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน
5. ให้อภัยและเริ่มต้นใหม่
.
6. สอนให้แบ่งปัน
7. เป็นแบบอย่างที่ดี

อาการพูดติดอ่างสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม โรคต่างๆ การเลี้ยงดู โดยปกติเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมักมีอาการนี้ได้ คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไปนัก ยกเว้นในกรณีเด็กพูดติดอ่างบ่อยและมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีการเคลื่อนไหวร่างกาย/ใบหน้าที่ผิดปกติ พบว่า 80% ของเด็กที่พูดติดอ่างมักจะหายได้เองเมื่อถึงวัยเข้าเรียน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยเหลือลูกติดอ่างให้หายจากอาการนี้ได้เร็วขึ้นด้วยวิธีต่อไปนี้
1. พุดคุยเล่นหัวกับลูก ให้ลูกรู้สึกมั่นใจในตัวเอง ผ่อนคลายไม่กังวล หรืออายกับการพูดติดอ่าง
2. จัดบรรยากาศชวนสนุกสนาน อาจมีภาพที่ลูกวาดเองใส่กรอบโชว์ มีตุ๊กตา หรือมุมหนังสือโปรดของลูก ไม่ควรมีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก เช่น ทีวี เกมคอมพิวเตอร์ เปิดเพลงเสียงดัง ฯลฯ ขณะทำกิจกรรมร่วมกับลูก
3. ไม่ขัดจังหวะเมื่อลูกยังพูดไม่จบประโยค ตั้งใจฟังและมองลูกด้วยสายตากระตือรือร้น ไม่แสดงความรู้สึกว่าต้องอดทนฟังหรือเบื่อหน่าย
4. ชวนลูกร้องเพลงด้วยกัน ควรเป็นเพลงจังหวะปานกลาง ฟังสบาย ไม่เร็วเกินไป จะช่วยให้ลูกสงบ มีสมาธิที่จะใช้พูดมากขึ้น
5. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดหรือไม่มั่นใจ เช่น ให้ลูกพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น
ที่สำคัญที่สุดคือ ความรักความอบอุ่นของคุณพ่อคุณแม่ที่มอบให้จะทำให้ลูกมั่นใจมากขึ้นและมีพัฒนาการที่ดีสมวัย อาการพูดติดอ่างก็จะค่อยๆ หายไปได้ค่ะ
หนังสือภาพพร้อมเพลง เรียนรู้ประโยชน์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตามีไว้ดู หู มีไว้ฟังส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย การเคลื่อนไหว การทรงตัว และทักษะทางภาษาอย่างสนุกสนาน ผ่านคำคล้องจองที่สามารถร้องเป็นเพลงแสนสนุก