Category Archives: จิตวิทยาเด็ก

เนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างวินัยเชิงบวก และการเข้าใจจิตใจของเด็ก สัมพันธ์กับหลักจิตวิทยาพัฒนาการ

นิทานเด็กสร้างนิสัยดี: ไดโนเดวิดและผองเพื่อน

ในยุคที่เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเด็กๆ นิทานยังคงเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการเสริมสร้างคุณธรรมและทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเติบโตของพวกเขา “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน เป็นชุดนิทานที่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างนิสัยดีและพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญให้กับเด็กๆ ผ่านการผจญภัยของไดโนเดวิดและผองเพื่อน

แรงบันดาลใจจากไดโนเสาร์

นิทานชุด “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน ใช้ตัวละครไดโนเสาร์เป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งไดโนเสาร์เป็นสัตว์ที่เด็กๆ ส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบและหลงใหล ตัวละครแต่ละตัวมีลักษณะและบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสะท้อนถึงคุณธรรมและทักษะที่ต้องการส่งเสริม เช่น ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความกล้าหาญ และความมีน้ำใจ

เนื้อหาที่เข้าถึงได้ง่ายและเหมาะสมกับวัย

นิทานแต่ละเล่มในชุดนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับเด็กในวัยต่างๆ โดยมีการใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ และเนื้อหาที่ไม่ซับซ้อน แต่แฝงไปด้วยข้อคิดที่มีคุณค่า ตัวละครไดโนเดวิดและเพื่อนๆ จะพาเด็กๆ ไปผจญภัยในสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้การแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการทำงานร่วมกัน

การพัฒนาความซื่อสัตย์

หนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจในชุดนิทานนี้คือเรื่องที่ไดโนเดวิดต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก ซึ่งต้องใช้ความซื่อสัตย์ในการแก้ปัญหา เรื่องนี้ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์และการยืนหยัดในความถูกต้อง

การเสริมสร้างความรับผิดชอบ

นิทานอีกเรื่องหนึ่งในชุดนี้เน้นการพัฒนาความรับผิดชอบผ่านตัวละครไดโนเสาร์ที่ต้องดูแลและปกป้องเพื่อนๆ ของมัน เด็กๆ จะได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการดูแลผู้อื่น

การเรียนรู้ความกล้าหาญ

ในนิทานชุดนี้ยังมีเรื่องราวที่ไดโนเดวิดต้องเผชิญกับความกลัวและความท้าทายที่น่ากลัว การเรียนรู้ถึงความกล้าหาญและการเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างกล้าหาญเป็นสิ่งที่เด็กๆ จะได้รับจากการอ่านนิทานเรื่องนี้

การพัฒนาความมีน้ำใจ

นอกจากนี้ นิทานชุด “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” ยังเน้นการพัฒนาความมีน้ำใจและการช่วยเหลือผู้อื่น เรื่องราวที่ไดโนเสาร์ตัวหนึ่งต้องช่วยเพื่อนๆ ของมันในการหาทางออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ช่วยเสริมสร้างความมีน้ำใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อน

การส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้

นิทานชุดนี้ไม่ได้เพียงแค่สอนคุณธรรมและทักษะชีวิต แต่ยังส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ด้วยการใช้ภาษาและการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ การอ่านนิทานช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน การฟัง และการเข้าใจเนื้อหา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในอนาคต

ไดโนเดวิดและผองเพื่อน

การสร้างความสุขและความสนุกสนาน

หนึ่งในจุดเด่นของนิทานชุด “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” คือการสร้างความสุขและความสนุกสนานให้กับเด็กๆ ผ่านการผจญภัยและเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น เด็กๆ จะได้สัมผัสกับความตื่นเต้นและความสนุกสนานที่มาพร้อมกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และการพัฒนาตัวเอง

การเชื่อมโยงกับครอบครัว

การอ่านนิทานยังเป็นโอกาสที่ดีในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก การอ่านนิทานให้ลูกฟังไม่เพียงแต่เป็นการสอนสิ่งที่ดีๆ แต่ยังเป็นการใช้เวลาร่วมกันและสร้างความทรงจำที่ดีในครอบครัว

การเสริมสร้างนิสัยดีในระยะยาว

นิทานชุด “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” ไม่ได้เพียงแค่สอนคุณธรรมและทักษะชีวิตในระยะสั้น แต่ยังมีเป้าหมายในการเสริมสร้างนิสัยดีที่ยั่งยืนในระยะยาว การอ่านนิทานเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เด็กๆ ซึมซับและนำข้อคิดที่ได้จากนิทานไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

การส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ

นิทานยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็กๆ การติดตามการผจญภัยของไดโนเดวิดและเพื่อนๆ ช่วยเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ใช้จินตนาการและคิดหาทางแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ

การพัฒนาและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต

การอ่านนิทานที่มีเนื้อหาที่ดีและเหมาะสมกับวัยช่วยให้เด็กๆ พัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ การเรียนรู้ผ่านนิทานเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญกับโลกในอนาคต

การสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการเรียนรู้

การอ่านนิทานช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง และการคิดวิเคราะห์ การอ่านนิทานเป็นการฝึกฝนที่ดีและมีความสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น

สรุป

นิทานชุด “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเสริมสร้างคุณธรรมและทักษะชีวิตที่สำคัญให้กับเด็กๆ ผ่านการผจญภัยที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและการเรียนรู้แล้ว ยังเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัวและสร้างความทรงจำที่ดีในระยะยาว ดังนั้น นิทานชุดนี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการเสริมสร้างนิสัยดีและพัฒนาทักษะชีวิตที่ยั่งยืนให้กับลูกๆ ของพวกเขา

การเสริมสร้างนิสัยดีและพัฒนาทักษะชีวิตให้กับเด็กๆ เป็นสิ่งที่สำคัญและมีความหมาย การใช้สื่อและเครื่องมือต่างๆ ที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของพวกเขา นิทานเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสอนและเสริมสร้างคุณธรรมและทักษะที่สำคัญผ่านการเล่าเรื่องและการผจญภัยที่น่าสนใจ ดังนั้น การเลือกนิทานที่ดีและมีคุณค่าเช่น “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” จึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรพิจารณาในการส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาของลูกๆ

การอ่านนิทานไม่เพียงแต่เป็นการสอนคุณธรรมและทักษะชีวิต แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว การใช้เวลาร่วมกันในการอ่านนิทานเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความใกล้ชิดและความรักระหว่างพ่อแม่และลูก การสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการเรียนรู้และการเติบโตในอนาคตผ่านนิทานเป็นสิ่งที่สำคัญและมีค่าในการพัฒนาของเด็กๆ ดังนั้น นิทานชุด “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการเสริมสร้างนิสัยดีและพัฒนาทักษะชีวิตที่ยั่งยืนให้

การพัฒนาและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต 

การอ่านนิทานที่มีเนื้อหาที่ดีและเหมาะสมกับวัยช่วยให้เด็กๆ พัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ การเรียนรู้ผ่านนิทานเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญกับโลกในอนาคต การฟังและการอ่านนิทานทำให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ การใช้จินตนาการ และการเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาต่างๆ

การสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการเรียนรู้ 

การอ่านนิทานช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง และการคิดวิเคราะห์ การอ่านนิทานเป็นการฝึกฝนที่ดีและมีความสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น นิทานยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ การทำความเข้าใจความหมายของคำและประโยค รวมถึงการเรียนรู้หลักไวยากรณ์ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ

การสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ

นิทานเด็กเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเด็กๆ ได้อย่างดี การฟังเรื่องราวและการติดตามการผจญภัยของตัวละครทำให้เด็กๆ ได้ใช้จินตนาการของพวกเขาในการคิดและวาดภาพตามเนื้อเรื่อง การมีจินตนาการที่กว้างไกลเป็นทักษะที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาความคิดและการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน

ความสำคัญของการเรียนรู้ผ่านนิทาน

การเรียนรู้ผ่านนิทานเป็นการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เด็กๆ จะได้สัมผัสกับเนื้อหาที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธรรมชาติ สัตว์ การใช้ชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งปัญหาที่เด็กๆ อาจพบเจอในชีวิตจริง การเรียนรู้ผ่านนิทานทำให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์และข้อคิดที่มีค่า ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

การสนับสนุนการพัฒนาทักษะสังคม

นิทานยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาทักษะสังคมของเด็กๆ การเรียนรู้ผ่านนิทานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร การทำงานร่วมกัน การแก้ปัญหาและการช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม

การเสริมสร้างคุณค่าและทัศนคติที่ดี

นิทาน “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” ยังช่วยเสริมสร้างคุณค่าและทัศนคติที่ดีต่อชีวิต เช่น การมีความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความกล้าหาญ และความมีน้ำใจ การเรียนรู้ผ่านนิทานทำให้เด็กๆ ได้เห็นตัวอย่างและข้อคิดที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง

การพัฒนาความมั่นใจในตัวเอง

การอ่านนิทานยังช่วยพัฒนาความมั่นใจในตัวเองของเด็กๆ การติดตามการผจญภัยของไดโนเดวิดและเพื่อนๆ ทำให้เด็กๆ เห็นว่าตัวละครสามารถเผชิญกับปัญหาและสามารถหาทางแก้ไขได้เอง ซึ่งส่งผลให้เด็กๆ รู้สึกมั่นใจในความสามารถของตัวเองและมีความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต

การสร้างประสบการณ์และความทรงจำที่ดี

การอ่านนิทานเป็นการสร้างประสบการณ์และความทรงจำที่ดีให้กับเด็กๆ และครอบครัว การใช้เวลาร่วมกันในการอ่านนิทานเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความใกล้ชิดและความรักระหว่างพ่อแม่และลูก นิทานยังเป็นสิ่งที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้เกิดความทรงจำและความผูกพันที่ดีระหว่างครอบครัว

การสร้างนิสัยรักการอ่าน

การเริ่มต้นอ่านนิทานให้เด็กๆ ฟังตั้งแต่ยังเล็กๆ เป็นการสร้างนิสัยรักการอ่านที่ยั่งยืน การที่เด็กๆ รู้สึกว่าการอ่านเป็นสิ่งที่สนุกสนานและมีประโยชน์ จะทำให้พวกเขามีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านและการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต

การสร้างความสนใจและความตั้งใจในการเรียนรู้

นิทานที่มีเนื้อหาน่าสนใจและเป็นประโยชน์ช่วยสร้างความสนใจและความตั้งใจในการเรียนรู้ของเด็กๆ การที่เด็กๆ รู้สึกว่าเนื้อหาที่เรียนรู้มีความสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันและสามารถนำไปใช้ได้จริง จะทำให้พวกเขามีความตั้งใจและความพยายามในการเรียนรู้มากขึ้น

การสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

นิทาน “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” ยังช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและความผูกพันระหว่างเพื่อนๆ การเรียนรู้ผ่านนิทานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร การทำงานร่วมกัน การแก้ปัญหาและการช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม

สรุป

นิทานชุด “ไดโนเดวิดและผองเพื่อน” เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเสริมสร้างคุณธรรมและทักษะชีวิตที่สำคัญให้กับเด็กๆ ผ่านการผจญภัยที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและการเรียนรู้แล้ว ยังเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัวและสร้างความทรงจำที่ดีในระยะยาว ดังนั้น นิทานชุดนี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการเสริมสร้างนิสัยดีและพัฒนาทักษะชีวิตที่ยั่งยืนให้กับลูกๆ ของพวกเขา

 

 

สูตรลับความร่วมมือและความสามัคคีผ่านนิทาน “ขบวนพาเหรดขนมปังหอมกรุ่น”

ขบวนพาเหรดขนมปังหอมกรุ่น

นิทาน เรื่อง “ขบวนพาเหรดขนมปังหอมกรุ่น” เป็นนิทานที่มีเนื้อหาโดดเด่นในแง่ของการสอนเด็กๆ ให้รู้จัก การช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ผ่านการร่วมมือกันทำขนมปังของตัวละครต่างๆ เพื่อไปช่วยเหลือเพื่อนสัตว์ที่กำลังประสบภัยพิบัติ นิทานได้สอดแทรกคุณธรรมเรื่องความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันไว้อย่างกลมกลืน ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้คุณธรรมดังกล่าวไปพร้อมๆ กับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการอ่านนิทาน เรื่องราวนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการปลูกฝังคุณธรรมอันดีงามให้กับเด็กๆ

เรื่องย่อ

เนื้อเรื่องโดยสังเขป กระต่ายน้อยได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ ดังมาจากคุณยายฮิปโปและสัตว์ป่าที่หนีไฟมา จึงชวนเพื่อนๆ อย่างกระรอกและจิ้งจอกมาช่วยกันทำขนมปังไปให้ กระต่ายน้อยมีความคิดริเริ่มที่จะช่วยเหลือผู้ประสบภัย แทนที่จะนิ่งเฉย ทุกตัวต่างพร้อมใจและเต็มใจที่จะช่วย โดยไม่รังเกียจว่าจะต้องเหนื่อยยาก ทุกตัวร่วมแรงร่วมใจกันแบ่งหน้าที่ นวดแป้ง ขยำ และปั้นขนมปังรูปทรงต่างๆ ด้วยสุดฝีมือ ตามความถนัดของตน

คุณธรรมจากนิทาน การช่วยเหลือ แบ่งปันกัน นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง การช่วยเหลือ เกื้อกูลกันของตัวละครต่างๆ ทุกตัวละครพร้อมใจกันทำขนมปังเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเองโดยตรง แต่ทุกตัวก็ยินดีที่จะอาสาช่วย ไม่นิ่งดูดายเมื่อเห็นผู้อื่นเดือดร้อน ตัวละครทุกตัวต่างร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด จนสามารถผลิตขนมปังออกมาได้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล เพียงพอที่จะไปแจกจ่ายให้เพื่อนสัตว์ที่กำลังอดอยากได้อิ่มท้อง

การทำงานเป็นทีม

นอกจากจะสอนเรื่อง การช่วยเหลือ กันแล้ว นิทานเรื่องนี้ยังสอนเรื่องการทำงานเป็นทีมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เมื่อตัวละครหนึ่งเหนื่อย อีกตัวก็จะสลับเข้ามาช่วยต่อทันที ทำให้ทุกขั้นตอนการทำขนมปัง ไม่ว่าจะเป็นการนวด การขยำ หรือการปั้น สามารถดำเนินต่อเนื่องไปได้อย่างราบรื่น จนสำเร็จลุล่วง ตัวละครทุกตัวต่างได้ช่วยกันปั้นขนมปังด้วยสุดฝีมือตามที่ตนถนัด แสดงให้เห็นถึงการรู้จักใช้ความสามารถของแต่ละคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้การทำงานเป็นทีมสำเร็จได้ด้วยดี

ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

เมื่อขนมปังเสร็จ ตัวละครก็ได้มีการแบ่งปันขนมปังที่ทำร่วมกันนั้น ให้กับสัตว์ป่าที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ ทั้งยังคำนึงถึงความต้องการของเพื่อนๆ แต่ละตัวด้วย โดยได้ปั้นขนมปังเป็นรูปทรงที่เพื่อนอยากได้ เช่น กระต่ายอยากได้ขนมปังรูปแครอต กระรอกอยากได้ขนมปังรูปลูกโอ๊ก ส่วนจิ้งจอกอยากได้รูปกระดูก เป็นต้น ตัวละครมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน รู้จักคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น ไม่เอาแต่ใจตนเอง

การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

การอ่านนิทานให้ลูกฟัง คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง สามารถนำนิทานเรื่องนี้ มาเป็นสื่อในการเล่านิทานให้ลูกๆ ฟัง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว คอยชี้ให้เห็นว่าการรวมพลังของตัวละคร ด้วยการร่วมมือร่วมใจกัน แบ่งหน้าที่กันทำ จะนำมาซึ่งความสำเร็จ เหมือนในเรื่องที่สามารถทำขนมปังได้สำเร็จและเป็นจำนวนมากพอที่จะนำไปช่วยเหลือผู้อื่น เด็กๆ จะได้ซึมซับคุณธรรม การช่วยเหลือ แบ่งปันจากการฟังนิทานไปโดยไม่รู้ตัว

การมอบหมายงานให้ลูกทำ

คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถต่อยอดจากการอ่านนิทาน โดยการมอบหมายงานง่ายๆ ให้กับลูก อาจเป็น การช่วยเหลือ งานบ้านเล็กน้อย เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน หรือการทำกิจกรรมร่วมกับพี่น้องในบ้าน เช่น งานประดิษฐ์ การเล่นของเล่นด้วยกัน เพื่อฝึกทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น การแบ่งหน้าที่ ผลัดเปลี่ยนกันทำ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง หรือเอาเปรียบกัน การฝึกให้ลูกได้ลงมือกระทำจริง จะช่วยส่งเสริมให้ลูกสามารถนำคุณธรรมจากในนิทานมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยปลูกฝังนิสัยดีๆ ให้ติดตัวลูกไปตลอด

บทสรุป

ทุกคนในครอบครัว ตลอดจนในสังคม ควรมีความรักความสามัคคี ให้ ความร่วมมือ ในการทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน รวมถึงช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อยามจำเป็น บางครั้งอาจต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม สิ่งเหล่านี้ควรปลูกฝังให้เป็นคุณธรรมประจำใจของลูกๆ ไปตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งการอ่านนิทานดีๆ ที่มีคติสอนใจ เช่นเรื่อง “ขบวนพาเหรดขนมปังหอมกรุ่น” ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยสร้างคุณธรรมเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เพราะการที่เด็กๆ ได้ซึมซับคุณธรรมจากเรื่องราวผ่านตัวละครที่เขาชื่นชอบ จะทำให้เด็กๆ สามารถจดจำและนำไปเป็นแบบอย่างที่ดีได้ในอนาคต

ความร่วมแรง ร่วมใจ การรู้จักสามัคคีกัน และการคำนึงถึงจิตใจของกันและกัน เป็นคุณธรรมอันทรงคุณค่า ที่จะช่วยส่งเสริมให้การทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น การหล่อหลอมคุณธรรมดังกล่าวให้เกิดขึ้นในจิตใจของลูกๆ ไม่เพียงจะช่วยให้เด็กๆ มีเกราะคุ้มกันทางใจ รู้จักคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน แต่ยังจะทำให้เด็กๆ สามารถใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขในระยะยาวอีกด้วย นิทานจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมสร้างรากฐานคุณธรรมให้กับลูกๆ เราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q&A  ขบวนพาเหรดขนมปังหอมกรุ่น

Q: นิทานเรื่อง “ขบวนพาเหรดขนมปังหอมกรุ่น” สอนเรื่องอะไรเป็นหลัก
A: นิทานเรื่องนี้สอนเรื่องการช่วยเหลือแบ่งปันกัน ความร่วมมือ และการทำงานเป็นทีมเป็นหลัก

Q: ใครเป็นผู้ริเริ่มความคิดในการทำขนมปังเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นในเรื่องนี้
A: กระต่ายน้อยเป็นผู้ริเริ่มความคิดในการทำขนมปังเพื่อช่วยเหลือสัตว์ป่าที่หนีไฟมาและกำลังอดอยาก

Q: นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงการช่วยเหลือกันของตัวละครอย่างไร
A: ตัวละครทุกตัวพร้อมใจกันช่วยทำขนมปัง ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเองโดยตรง ทุกตัวร่วมแรงร่วมใจกันจนทำขนมปังได้เป็นจำนวนมาก พอจะแบ่งปันให้ผู้ที่กำลังเดือดร้อน

Q: นิทานเรื่องนี้สอนเรื่องการทำงานเป็นทีมอย่างไร
A: เมื่อตัวละครตัวใดเหนื่อย อีกตัวจะเข้ามาสลับช่วยต่อทันที ทำให้การทำขนมปังดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ทุกตัวใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ในการทำงานร่วมกัน

Q: ตัวละครในเรื่องแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจกันอย่างไร
A: ตัวละครคำนึงถึงความต้องการของเพื่อนๆ โดยปั้นขนมปังเป็นรูปทรงที่เพื่อนแต่ละตัวชื่นชอบ เช่น กระต่ายชอบแครอต กระรอกชอบลูกโอ๊ก เป็นต้น

Q: คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้นิทานเรื่องนี้เพื่อสอนลูกเรื่องใดได้บ้าง
A: คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้นิทานเรื่องนี้สอนลูกเรื่องการมีน้ำใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว ความร่วมมือ และการทำงานเป็นทีม

Q: นอกจากการอ่านนิทาน ผู้ปกครองควรทำอย่างไรเพื่อส่งเสริมให้ลูกนำคุณธรรมจากนิทานไปใช้ในชีวิตประจำวัน
A: ผู้ปกครองควรมอบหมายงานง่ายๆ เช่น งานบ้าน หรือกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกับผู้อื่น เพื่อฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การแบ่งหน้าที่ การเห็นอกเห็นใจกัน และไม่เอาเปรียบผู้อื่น

Q: การปลูกฝังคุณธรรมเรื่องความสามัคคี ความร่วมมือให้ลูก มีความสำคัญอย่างไร
A: การปลูกฝังคุณธรรมเหล่านี้ให้ลูกตั้งแต่เด็ก จะช่วยสร้างเกราะคุ้มกันทางใจ ทำให้ลูกคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

Q: นิทานเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณธรรมให้ลูกอย่างไร
A: เด็กๆ สามารถซึมซับคุณธรรมจากเรื่องราวและตัวละครในนิทานโดยไม่รู้ตัว การเห็นตัวอย่างที่ดีของตัวละครที่ชื่นชอบ จะช่วยให้เด็กจดจำและนำไปเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตได้

Q: หากต้องการให้ลูกมีพื้นฐานจิตใจที่ดี ควรเริ่มปลูกฝังคุณธรรมเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
A: ควรเริ่มปลูกฝังคุณธรรมให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก เพราะเป็นช่วงที่ลูกซึมซับทุกอย่างได้ง่ายที่สุด และจะติดตัวลูกไปตลอด หากได้รับการปลูกฝังที่ดีตั้งแต่ต้น

ลูกนอนไม่หลับ? ลองวิธีนี้เลย!

ลูกนอนไม่หลับ? ลองวิธีนี้เลย!

ปัญหา ลูกนอนไม่หลับ เป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนต้องเผชิญ เนื่องจากทารกและเด็กเล็กต้องการการนอนหลับอย่างเพียงพอเพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดี การขาดการนอนหลับพักผ่อนอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย อารมณ์ และการเรียนรู้ของลูกน้อยได้ ดังนั้น จึงมีวิธีการดังต่อไปนี้ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปลองปรับใช้

สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและมืดสนิท

  1. ควรควบคุมระดับเสียงรบกวนจากภายนอกห้องนอนของลูก เช่น เสียงโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ หรือเสียงรถยนต์จากถนน เนื่องจากเสียงดังอาจทำให้ลูกตื่นหรือนอนไม่หลับ
  2. จำกัดแสงสว่างในห้องนอน เช่น ปิดม่านหรือพรมให้มิดชิด เพราะแสงสว่างมากเกินไปจะรบกวนการนอนหลับของลูก

รักษาสภาพห้องให้เย็นสบาย

  1. อุณหภูมิห้องที่เหมาะสมสำหรับการนอนหลับอยู่ที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส เป็นช่วงอุณหภูมิที่ทำให้ลูกรู้สึกสบาย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
  2. พิจารณาใช้พัดลมหรือเครื่องปรับอากาศเพื่อรักษาอุณหภูมิห้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

จัดตารางนอนให้เป็นเวลา

  1. พยายามให้ลูกนอนหลับในช่วงเวลาเดิมทุกคืน โดยปรับให้เข้านอนราว ๆ  เวลาเดียวกันทุกวัน
  2. การมีกิจวัตรการนอนที่สม่ำเสมอจะช่วยฝึกให้ร่างกายของลูกรู้จังหวะการนอนหลับ และทำให้ง่ายต่อการนอนหลับในเวลาดังกล่าว
  3. สำหรับเด็กเล็ก อาจต้องให้นอนหลับก่อนเวลา 21.00 น. เพื่อให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

สร้างกิจวัตรก่อนนอน

  1. จัดกิจกรรมผ่อนคลายก่อนนอนเป็นประจำ เช่น อาบน้ำอุ่น นวดตัว สวดมนต์หรือ ฟังนิทาน ฟังเพลงเบาๆ เป็นต้น
  2. กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย เครียดน้อยลง และเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ
  3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ตื่นเต้นหรือกระตุ้นประสาทมากเกินไปก่อนนอน เช่น เล่นเกมที่มีเสียงดังหรือแสงสว่างจ้า

งดเล่นมือถือ/ดูทีวีก่อนนอน

  1. แสงสีน้ำเงินจากหน้าจอ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือทีวี จะกระตุ้นระบบประสาทไม่ให้ง่วงนอนได้
  2. ควรงดกิจกรรมเหล่านี้อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาผ่อนคลายและเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ
  3. สำหรับเด็กโต อาจอนุญาตให้ดูทีวีหรือเล่นมือถือก่อนนอนได้บ้าง แต่ต้องจำกัดเวลาและควบคุมให้อยู่ห่างจากแสงสว่างก่อนนอนพอสมควร

ให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน

  1. การออกกำลังกายทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยล้าในระดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สามารถนอนหลับได้ง่ายและสนิทขึ้น
  2. อย่างไรก็ตาม ไม่ควรออกกำลังกายหนักเกินไปใกล้ๆ เวลานอน ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายกระตุ้นมากเกินไปจนนอนไม่หลับ
  3. สามารถให้ลูกออกกำลังอย่างเบาๆ เช่น เดิน ปั่นจักรยาน วิ่งเหยาะๆ หรือเล่นอย่างสนุกสนาน

หากลูกยังคงนอนไม่หลับ

  1. พิจารณาให้นมหรืออาหารเสริมก่อนนอน เนื่องจากการดื่มนมอาจทำให้ลูกรู้สึกอิ่มและง่วงนอนมากขึ้น
  2. อุ้มหรือโยกเยกลูกไปมาเบาๆ พร้อมร้องเพลงกล่อมหรือพูดคุย เพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกสงบและง่วงนอน
  3. อาจแนะนำให้ลูกจับตุ๊กตาหรือผ้าห่มที่คุ้นเคย เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยและช่วยในการนอนหลับ

การนอนหลับพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูก หากปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอแล้วลูกยังคงนอนไม่หลับเป็นประจำ อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมต่อไป.

แหล่งอ้างอิง

  1. วารสารการแพทย์ของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (Thai Journal of Pediatrics)
    -เป็นวารสารทางการแพทย์ที่มีบทความวิชาการและงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กโดยผู้เชี่ยวชาญ
    -มีบทความเกี่ยวกับปัญหาการนอนไม่หลับในเด็กและวิธีการจัดการ
  2. American Academy of Pediatrics (https://www.healthychildren.org/)
    -เว็บไซต์ขององค์กรแพทย์เด็กชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
    -มีคำแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการดูแลสุขภาพเด็กในหลายๆ ด้าน รวมถึงการนอนหลับ
  3. หนังสือ “Healthy Sleep Habits, Happy Child” โดย Marc Weissbluth, M.D.
    -เป็นหนังสือเกี่ยวกับการนอนหลับในเด็กที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือได้
    -ผู้เขียนเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับในเด็ก
  4. เว็บไซต์กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (https://www.dmh.go.th/)-
    -มีข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการนอนหลับที่ดีสำหรับเด็กในหมวดสุขภาพจิต
    -เป็นแหล่งข้อมูลจากหน่วยงานราชการที่น่าเชื่อถือ
  5. วารสารวิชาการคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol Journal of Tropical Medicine)
    -เป็นวารสารด้านการแพทย์ที่มีบทความวิจัยและบทความวิชาการที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ
    -มีบทความที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพและการนอนหลับในเด็ก

แหล่งอ้างอิงเหล่านี้ล้วนมาจากผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ จึงสามารถให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับประกอบในบทความเรื่อง การแก้ปัญหาลูกนอนไม่หลับ

10 เทคนิคง่ายๆ ในการฝึกเด็กให้มีนิสัยการนอนที่ดี

การสร้างพฤติกรรมการนอนที่ดีสำหรับเด็กเล็กถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยพัฒนาสุขภาพและการเรียนรู้ของพวกเขา เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ปกครองมีวิธีการปรับกิจวัตรและสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพให้กับเด็กๆ

1. สร้างกิจวัตรก่อนนอนที่สม่ำเสมอ

การมีกิจวัตรที่ชัดเจนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กเล็กเข้าใจว่าถึงเวลานอนแล้ว โดย กิจกรรมก่อนนอน จะช่วยลดความเครียดและเตรียมร่างกายของเด็กให้พร้อมสำหรับการนอนลึกและต่อเนื่อง

ตัวอย่างกิจกรรมก่อนนอน:

  • อาบน้ำอุ่น**: ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
  • อ่านหนังสือหรือนิทาน**: ช่วยให้เด็กมีสมาธิและรู้สึกสงบ
  • การพูดคุยเบาๆ**: สร้างความผูกพันทางอารมณ์และความรู้สึกปลอดภัยให้กับเด็ก

2. ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการนอน

การสร้างห้องนอนที่เอื้อต่อการนอนเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การควบคุมแสงและเสียงในห้องนอน ซึ่งสามารถช่วยลดสิ่งรบกวนและทำให้เด็กนอนหลับสนิทตลอดคืน

เคล็ดลับ:

  • แสง: ใช้ม่านที่สามารถปิดแสงจากภายนอกได้ เพื่อช่วยให้ร่างกายของเด็กปรับตัวเข้าสู่โหมดการนอน
  • เสียง: ลดเสียงรบกวนหรือใช้เครื่องเสียงสีขาวเพื่อสร้างบรรยากาศสงบ
  • อุณหภูมิ: ตั้งอุณหภูมิห้องประมาณ 18-22 องศาเซลเซียส เพื่อให้เหมาะกับการนอน

3. จำกัดการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

แสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รบกวนการสร้างฮอร์โมนเมลาโทนินที่จำเป็นต่อการนอน การจำกัดการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ก่อนเวลานอนจะช่วยให้เด็กนอนหลับได้ง่ายขึ้น

กฎการใช้งานอุปกรณ์:

  • ปิดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน
  • ใช้โหมดลดแสงสีฟ้าหากจำเป็นต้องใช้ก่อนนอน

4. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายสามารถช่วยให้เด็กนอนหลับได้ดีขึ้น เพราะช่วยในการสร้างสมดุลระหว่างพลังงานที่ใช้ในระหว่างวันกับการผ่อนคลายเมื่อถึงเวลานอน

กิจกรรมที่แนะนำ:

  • การเล่นกีฬาที่กระตุ้นให้เด็กเคลื่อนไหว
  • การเดินหรือวิ่งเล่นกลางแจ้ง
  • โยคะหรือการฝึกสมาธิ

5. กำหนดเวลาเข้านอนที่แน่นอน

การเข้านอนและตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกวันช่วยให้ร่างกายของเด็กปรับตัวเข้าสู่รอบการนอนที่สม่ำเสมอ ส่งผลให้พวกเขาสามารถนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ตั้งเวลาเข้านอนที่แน่นอนทุกคืน
  • รักษากิจวัตรนี้แม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์

6. อาหารที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับ

อาหารบางชนิดสามารถช่วยให้เด็กนอนหลับได้ดีขึ้น เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูงหรืออาหารที่มีทริปโตเฟน เช่น นมอุ่นๆ หรือกล้วย ช่วยเพิ่มการผลิตเมลาโทนินในร่างกาย

ตัวอย่างอาหารก่อนนอน:

  • นมอุ่นๆ
  • กล้วย
  • ขนมปังโฮลวีต

7. การจัดการกับความเครียด

การเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมการนอนหลับที่ดี การสอนเทคนิคการหายใจลึกๆ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กับเด็กจะช่วยให้พวกเขารู้สึกสงบและนอนหลับง่ายขึ้น

เทคนิค:

  • การฝึกหายใจเข้าลึกๆ และออกยาวๆ
  • การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อทีละส่วนของร่างกาย

8. ลดปริมาณคาเฟอีน

หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงเย็นหรือก่อนนอน เนื่องจากคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและยับยั้งการนอนหลับที่ลึกและยาวนาน

9. สนับสนุนให้มีการนอนกลางวันในเวลาที่เหมาะสม

การนอนกลางวันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กเล็ก แต่การกำหนดเวลานอนกลางวันไม่ควรใกล้เวลานอนตอนกลางคืนเกินไป เพื่อให้เด็กสามารถหลับสนิทตอนกลางคืนได้อย่างเต็มที่

10. ให้เวลาเด็กได้ปรับตัว

หากเด็กมีการเปลี่ยนแปลงกิจวัตร เช่น การย้ายบ้าน หรือการไปโรงเรียนใหม่ ให้เวลาเด็กในการปรับตัว การสร้างความมั่นคงในชีวิตประจำวันของพวกเขาจะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น

สรุป

การนอนหลับที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็ก การปรับเปลี่ยนกิจวัตรและสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการนอนหลับที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กๆ รู้สึกสดชื่น แต่ยังเสริมสร้างสุขภาพและการเรียนรู้ของพวกเขาด้วย

พลิกโฉมความสัมพันธ์ของลูกด้วยบทเรียนการสื่อสารจากเรื่องราวของเหล่าไดโนน้อย

สำหรับพ่อแม่มือใหม่ การสร้างสัมพันธภาพที่ดีและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับลูกน้อยนับเป็นความท้าทายไม่น้อย บางครั้งความไม่เข้าใจกันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน แต่รู้หรือไม่ว่า เรื่องราวของไดโนเสาร์ตัวน้อย T-Rex David และผองเพื่อนจากซีรีส์ “Tyrannosaurus David and Friends – Social Communication Series” ได้ซ่อนบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่จะช่วยพลิกโฉมความสัมพันธ์ระหว่างคุณและลูกได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรามาร่วมไขรหัสความสำเร็จและค้นหาวิธีการสื่อสารเชิงบวกผ่านมุมมองของ T-Rex David กันเลย

1. รับฟังด้วยใจจริง

บทเรียนแรกจากเรื่อง “The fish pie” หน้า 12-13 คือ การเป็นผู้ฟังที่ดี เมื่อ T-Rex David ตั้งใจฟังเพื่อนอธิบายสูตรทำพายปลาอย่างใส่ใจ ไม่พูดแทรก สัมพันธภาพของพวกเขาก็แน่นแฟ้นขึ้น การฟังลูกพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ด่วนตัดสินหรือสอนทันที จะทำให้ลูกรู้สึกว่าเขามีคุณค่าและความคิดของเขาได้รับการเคารพ ส่งผลดีต่อความไว้วางใจและการเปิดใจสื่อสาร

2. แสดงความเห็นอกเห็นใจ

อีกบทเรียนสำคัญจากเรื่อง “I am better than you” หน้า 18-19 คือ การแสดงความเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย เมื่อเพื่อนไม่สบายใจ T-Rex David จะปลอบโยนและให้กำลังใจ ทำให้เพื่อนรู้สึกอุ่นใจ เด็กๆ ก็เช่นกัน เมื่อเขาเผชิญเรื่องยากลำบาก คำพูดที่แสดงว่าเรารู้สึกเห็นอกเห็นใจและพร้อมอยู่เคียงข้าง จะช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาอันท้าทายไปได้ด้วยความมั่นใจ

3. ให้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน

T-Rex David มักมีไอเดียสนุกๆ ในการทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น เล่นเกม ปั้นแป้งโดว์ ออกผจญภัย จะเห็นได้จากเรื่อง “Scary mud monster” หน้า 16-17 ที่การร่วมกันสร้างประติมากรรมโคลนทำให้ทุกตัวสนิทสนมยิ่งขึ้น การใช้เวลาทำกิจกรรมที่ลูกสนใจด้วยกันอย่างมีคุณภาพ จะช่วยสานความผูกพันทางใจ สร้างความทรงจำดีๆ ที่จะหล่อหลอมสายใยแห่งรักภายในครอบครัว
.4. เห็นคุณาในตัวลูก
เรื่อง “I am better than you” หน้า 16-17 ฉายภาพ T-Rex David ที่แม้มั่นใจในตัวเองสูง แต่ก็ชื่นชมยินดีในความสามารถของเพื่อนๆ ไม่ดูถูกดูแคลน พ่อแม่ก็ควรเห็นคุณค่าในตัวลูกเช่นกัน ให้เขารู้ว่าเรารัก ชื่นชม และภูมิใจในตัวเขา ไม่ว่าเขาจะมีดีหรือด้อยกว่าใคร อย่าตัดสินหรือเปรียบเทียบ แค่สนับสนุนลูกให้กล้าเป็นตัวของตัวเอง ความมั่นใจในตนเองจะช่วยให้ลูกกล้าสื่อสารและเข้าสังคมอย่างเต็มภาคภูมิ
.

5. ให้อภัยและเริ่มต้นใหม่

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเกิดการผิดใจหรือทะเลาะกัน อย่าผูกใจเจ็บหรือตอกย้ำความผิด ให้เรียนรู้จาก T-Rex David ที่ไม่ถือโทษโกรธเพื่อนเรื่องโกงเกม ใน “It doesn’t count” หน้า 22-23 เขาเลือกที่จะให้อภัยและเริ่มต้นกิจกรรมใหม่ด้วยกัน การหยุดโต้เถียง ยอมรับผิด ให้อภัย และหาทางออกร่วมกันในเชิงบวก จะช่วยแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ และนำความเข้าใจกลับคืนสู่ความสัมพันธ์

.

6. สอนให้แบ่งปัน

ไม่มีอะไรสร้างความผูกพันได้ดีไปกว่าการแบ่งปัน ดูอย่าง T-Rex David ที่พร้อมจะแบ่งของดีๆ ให้เพื่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพายปลาอันโอชะใน “The fish pie” หน้า 16-17 หรือสูตรยาวิเศษใน “Magic potion” หน้า 14-15 การแบ่งปันช่วยสอนให้ลูกมีน้ำใจเอื้ออารี รู้จักการให้และการได้รับ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญของการมีสัมพันธภาพที่ดี เมื่อลูกได้รับความรักและเอาใจใส่ เขาก็จะส่งต่อพลังบวกนั้นให้แก่ผู้อื่น

7. เป็นแบบอย่างที่ดี

T-Rex David เป็นต้นแบบของการตั้งใจฟัง เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เป็นเพื่อนที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มองโลกในแง่ดี กล้าเป็นตัวเอง และพัฒนาตนเองตลอดเวลา นี่คือคุณสมบัติที่พ่อแม่ควรแสดงให้เห็นเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกๆ เรื่อง “Making friends” หน้า 22-23 ให้ข้อคิดว่า พฤติกรรมของผู้ใหญ่จะถูกเด็กๆ ทำตาม ดังนั้น จงรักษาคำพูดและการกระทำ ให้ระวังอารมณ์ เป็นผู้ใหญ่ที่คุณอยากให้ลูกเป็น นั่นคือวิธีปลูกฝังคุณค่าที่ดีที่สุด
.
T-Rex David สะท้อนให้เห็นว่า การมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เริ่มต้นที่การสื่อสารอย่างเปิดใจ ฟังในสิ่งที่ลูกสื่อสารกับเรา ทั้งคำพูดและภาษากาย ตอบสนองความต้องการของลูกด้วยความเข้าอกเข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ แล้วความผูกพัน ความสนิทสนม และความไว้วางใจก็จะเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถพูดคุยกันได้ในทุกประเด็น ไม่ว่าธรรมดาหรืออ่อนไหวเพียงใด
.
เราทุกคนล้วนต้องการการเชื่อมต่อและความรักจากครอบครัว หลักการสื่อสารจากไดโนเสาร์น้อย T-Rex David สามารถเป็นประทีปส่องทางให้พ่อแม่มือใหม่ ที่กำลังมุ่งมั่นสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีงามกับลูกๆ ไม่ต้องท้อใจกับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา ขอเพียงมองลูกด้วยหัวใจ เดินเคียงข้างเขาไปพร้อมๆ กัน ให้เวลา ความเข้าใจ และการสนับสนุน ไม่ว่าสถานการณ์จะขรุขระแค่ไหน เส้นทางแห่งสายสัมพันธ์อันอบอุ่นก็จะค่อยๆ ปูทางให้คุณและลูกก้าวเดินด้วยกันอย่างมีความสุข

3 กิจกรรมทำให้ลูกนอนหลับฝันดี

3 กิจกรรมทำให้ลูกนอนหลับฝันดี

วิธีแก้ปัญหาให้ลูกเข้านอนเป็นเวลาและหลับฝันดีนั้นทำได้ไม่ยากเลยค่ะ1.จัดสภาพแวดล้อมให้สะอาด สบายตา ดูน่ารัก สวยงาม เตรียมพร้อมที่จะนอน เปิดดนตรีคลอเบาๆ ให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย มีตุ๊กตาตัวโปรดวางอยู่ข้างๆ อาจให้ลูกพูดคุยและกอดตุ๊กตานอน เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนจะได้นอนง่ายขึ้น

2. อ่านนิทานด้วยกัน  ให้ลูกเป็นคนเลือกแล้วคุณพ่อคุณแม่อ่านให้ฟัง อย่าลืมตกลงเรื่องเวลากับลูกว่าจะฟังนิทานได้กี่เรื่อง และต้องเข้านอนตอนไหน ควรให้ลูกเข้านอนไม่เกิน 2 ทุ่ม เพราะถ้านอนดึก ลูกจะเหนื่อย ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนและคอร์ติซอลออกมาทำให้หลับยาก ตื่นกลางดึกบ่อยและตื่นเช้าเกินไป จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ

3. ชวนลูกคุยสร้างความผูกพันกับลูก ก่อนนอนชวนลูกคุยเล่นสบายๆ ถามลูกว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้าง ชอบหรือไม่ชอบสนุกหรือไม่อย่างไร ฯลฯ  จากนั้นลองเล่าถึงสิ่งที่พ่อแม่พบเจอให้ลูกฟังบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ขณะพูดคุยควรโอบกอดสัมผัสลูกด้วยความรักไปด้วย

กิจกรรมก่อนนอนควรเป็นกิจกรรมที่สงบ หลีกเลี่ยงพูดถึงเรื่องร้ายๆ เช่น อุบัติเหตุ นินทาว่าร้ายคนอื่น ไม่ควรให้ลูกดูโทรทัศน์หรือฟังเรื่องน่ากลัว รวมถึงเรื่องกังวลใจ ลูกจะได้ไม่เก็บไปคิดและนอนฝันร้าย ถ้าจะให้ดีควรให้ดื่มนมอุ่น สักแก้ว จะช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายและหลับสบายขึ้น

   นิทาน ป๋องแป๋งไม่ยอมนอน เป็นนิทานที่ ฝึกลูกให้รู้จักเตรียมพร้อมเข้านอนตรงเวลา ผ่านเรื่องราวน่ารักของ “ป๋องแป๋ง” ตัวละครสุดฮิตที่เด็กๆ ชื่นชอบ เช่นเข้าห้องน้ำก่อนนอน ฟังนิทานก่อนนอน พร้อมวิธีฝึกลูกให้เข้านอนง่ายๆ ไม่งอแงในท้ายเล่ม เหมาะสำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้ของเด็กเล็ก

   ป๋องแป๋งไม่ยอมนอน เดี๋ยวปวดฉี่ อยากกอดตุ๊กตาหมี ไม่ยอมให้ปิดไฟ จนในที่สุดเอานิทานมาให้พ่ออ่านให้ฟัง ป๋องแป๋งฟังนิทานที่พ่ออ่าน ก็ค่อย ๆ เคลิ้มจนหลับไป


อ่านบทความดีๆ ที่ช่วยในการเลี้ยงลูก ได้ทางเว็บไซต์ www.passeducation.com

ทำอย่างไร ถ้าลูกห่วงเล่น ไม่ห่วงกิน

เอาแต่เล่น ไม่ยอมกิน

ลูกไม่ยอมกินข้าว เพราะห่วงเล่น แก้ด้วยการฝึกวินัยการกินที่ดีให้ลูก
เด็กส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหรอกว่า เรากินอาหารไปเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรง และยิ่งไม่รู้หรอกว่า การมีวินัยในการกินสำคัญอย่างไร เขารู้เพียงแค่ว่า หิวก็กิน อยากกินก็กิน อาหารอร่อยก็กินเพียงเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องฝึกลูกให้มีวินัยในการกินตั้งแต่ยังเล็ก เพราะจะทำให้ลูกมีความสามารถในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำของตัวเอง ที่เรียกว่าทักษะ EF อันเป็นพื้นฐานไปสู่เป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตต่อไป ด้วยวิธีต่อไปนี้

กินอาหารให้เป็นมื้อ กินให้เป็นเวลา
ลูกไม่ยอมกินข้าว หากปล่อยให้ลูกกินทั้งวัน หิวเมื่อไหร่ก็มีของกินพร้อมเสิร์ฟ ลูกก็จะไม่หิวเมื่อถึงเวลาอาหาร และไม่เห็นความสำคัญของการกินให้เป็นเวลา สำหรับลูกเล็กในวัยอนุบาล อาจมีอาหารว่างมื้อเล็กตอน 10 โมงเช้า กับ บ่าย 2 โมง แต่ต้องเป็นมื้อเล็กที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการ หลีกเลี่ยงขนมกรุบกรอบ อาหารหวาน น้ำหวาน ขนมหวาน และไม่ควรให้กินขนมใกล้เวลาก่อนมื้ออาหาร สัก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกได้รู้จักความหิว

กำหนดเวลากินในแต่ละมื้อไม่เกินครึ่งชั่วโมง
บอกลูกว่า ทุกคนจะนั่งที่โต๊ะกินข้าวด้วยกันตามเวลาจนเสร็จ เมื่อหมดเวลาต้องเก็บอาหาร และไม่มีการกินเวลาอื่น ไม่มีของว่างหรือขนม จนกว่าจะถึงมื้อต่อไป เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้กฎว่า ถึงเวลากินข้าวต้องหยุดเล่น และมากินอาหารให้ตรงเวลา ถ้าไม่กินตามเวลาต้องทนหิว เพื่อรอเวลาอาหารมื้อถัดไป

ในข้อนี้ สำคัญมากในการฝึกลูกให้เรียนรู้วินัยการกินที่ดี คุณแม่ต้องไม่ใจอ่อน อย่ากลัวว่าลูกจะขาดสารอาหาร หากปล่อยให้ลูกอด เพราะการที่เด็กอดไปไม่กี่มื้อ ไม่ได้ทำให้เด็กขาดสารอาหารและไม่โต แต่จะทำให้เด็กเรียนรู้วินัยการกินที่ดีในระยะยาว ซึ่งการฝึกตั้งแต่ลูกยังเล็กแบบนี้ จะทำให้คุณแม่สบายในระยะยาว ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญให้ลูกกินข้าวไปจนโตด้วยเช่นกัน

สร้างบรรยากาศที่ดีในการกิน
ฝึกให้ลูกนั่งกับโต๊ะ กินอาหารพร้อมกันร่วมกับพ่อแม่ เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีในการกินให้ลูกได้เรียนรู้ว่า การกินเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำเหมือนกิจวัตรอื่นๆ และทุกคนต้องทำเหมือนกัน โดยมีพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการกิน ซึ่งหากบ้านไหนที่พ่อแม่กินข้าวไม่เป็นเวลา กินข้าวหน้าทีวี หรือเลือกกิน ก็ควรปรับที่พฤติกรรมของตัวเองก่อน

สอนไปในทิศทางเดียวกัน
ปัญหาหนึ่งในการที่ฝึกวินัยลูกไม่สำเร็จ เพราะผู้ใหญ่ในบ้านไม่สอนลูกหลานไปในทิศทางเดียวกัน ก่อนอื่นเลย ผู้ใหญ่ในบ้านควรคุยข้อตกลงในการปรับพฤติกรรมการกินของเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่ว่า แม่เก็บอาหารเมื่อลูกไม่ยอมกินตามเวลา แต่คุณยาย เอาขนมของว่างมาให้หลานเพราะกลัวจะหิว เช่นนี้แล้ว เด็กจะไม่เห็นความสำคัญของการกินเป็นเวลา ซึ่งจะทำให้การปรับพฤติกรรมไม่ประสบความสำเร็จ

ไม่บังคับให้ลูกกินข้าว
คุณแม่คุณแม่ไม่ควรกังวลกับการกินของลูกมากเกินไป โดยธรรมชาติของเด็กเล็กจะกินอาหารตามปริมาณที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว เมื่อลูกอิ่ม ไม่อยากกิน ไม่ต้องคะยั้นคะยอหรือบังคับให้ลูกกินต่อให้หมด เพราะการกินมากกินน้อย ลูกอ้วนหรือยอมไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่ดี แต่การบังคับให้ลูกกินจะทำให้ลูกเกิดทัศนคติที่ไม่ได้ต่อการกิน และยิ่งไม่ยอมกินข้าวยิ่งกว่าเดิม

ชวนลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร
คุณแม่อาจชวนให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร ในส่วนที่ลูกสามารถทำได้และไม่เป็นอันตราย ลูกจะตื่นเต้นและภูมิใจที่ได้กินอาหารฝีมือตัวเอง นอกจากนี้คุณแม่อาจมีการดัดแปลงอาหารบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อสร้างบรรยากาศบนโต๊ะอาหารให้มีความแปลกใหม่ น่ากินกว่าเดิม เช่น มีสีสันหรือทำเป็นรูปตัวการ์ตูน

ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเมนู
คุณแม่ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเมนูให้เป็น เพราะการที่ลูกกินแต่อาหารเดิมๆ จนเบื่อก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่สนใจการกิน โดยคุณแม่อาจสลับจากเมนูข้าว เป็นเมนูเส้นที่ให้คาร์โบไฮเดรตเหมือนกัน เช่น ก๋วยเตี๋ยว สปาเก็ตตี้ มักกะโรนี ขนมจีน เป็นต้น

ซึ่งหากคุณแม่จะฝึกให้ลูกลองอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยกิน ควรนำเข้ามาทีละนิดร่วมกับอาหารที่ลูกชอบ หากลูกปฏิเสธอาหารชนิดนั้นๆ ในครั้งแรก ไม่ได้หมายความว่า ลูกจะไม่กินอาหารชนิดนั้นอีก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าสามารถให้เด็กได้ลองเป็นระยะ ได้ถึง 10 ครั้ง

ฝึกลูกตักอาหารกินเอง
เริ่มจากพ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นจับมือลูกทำตาม แล้วลองให้ลูกทำเอง ฝึกบ่อยๆ ให้ลูกทำได้ให้มากที่สุด ไม่ต้องกลัวเลอะเทอะ ไม่ต้องวุ่นวายกับการทำความสะอาดตลอดเวลาระหว่างกิน ให้คิดเสมอว่าความเลอะเทอะ คือการเรียนรู้ เมื่อลูกทำได้พ่อแม่ควรชื่นชมให้กำลังใจ ตบมือ ยิ้มให้ แล้วบอกว่า ที่คุณพ่อคุณแม่พอใจ คือ พฤติกรรมอะไร ยิ่งชมลูกยิ่งภูมิใจ และอยากทำอีก เมื่อลูกกินข้าวจนหมด พ่อแม่ก็ชมอีก วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ลูกอยากกินอาหารตรงเวลามากขึ้น

ปัญหาลูกกินยาก ห่วงเล่น ไม่ยอมกินข้าว แก้ได้ไม่ยาก เพียงคุณพ่อคุณแม่ปรับทัศนคติของตัวเอง และปรับการตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกอย่างเหมาะสม การฝึกวินัยการกิน ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหา ลูกไม่กินข้าว แต่การตั้งกติกา ช่วยฝึกให้ลูกมีความอดทน รู้จักควบคุมตนเอง เรียนรู้กฎในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เป็นพื้นฐานในการมีวินัยเรื่องอื่นๆ ต่อไป

หนังสือนิทานต่อไปนี้แก้ปัญหาลูกไม่ยอมกินข้าว
การใช้หนังสือนิทาน เป็นอีกวิธีหนึ่งในการสอนลูกกินข้าวให้ตรงเวลา ฝึกวินัยการกินให้ลูก ไม่กินปิงปิงเล่นก่อน” เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อชี้ให้ลูกเห็นว่า บ้านของเรามีกติกาที่ทุกคนในบ้านต้องทำเหมือนกัน ถ้าถึงเวลากินแล้วไม่กิน ลูกจะหิวแบบ “ปิงปิง”

นิทานปิงปิง “ไม่กินปิงปิงเล่นก่อน” ยังช่วยเสริมสร้างทักษะทางสมองที่สำคัญอย่าง EF ได้ด้วย คุณพ่อคุณแม่สามารถชักชวนลูกพูดคุยถึงเหตุการณ์ในเรื่องนี้เชื่อมโยงกลับมาที่ตัวเอง หนูจะทำอย่างไรไม่ให้ต้องทนหิวอย่างปิงปิง ช่วยฝึกการยั้งคิดไตร่ตรอง และรู้จักประเมินตนเอง รวมไปถึงชวนลูกคิดต่อว่า แล้วเย็นนี้หนูอยากกินอะไร เราลองมาช่วยกันทำดีไหม เป็นการฝึกความจำเพื่อใช้งาน และวางแผน จัดระบบ ดำเนินการ เป็นพื้นฐานกระบวนการคิดที่สำคัญต่อไปในอนาคต

ป๋องแป๋งไม่อยากกิน
ฝึกลูกให้รู้จักรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ผ่านเรื่องราวน่ารักของ “ป๋องแป๋ง” ตัวละครสุดฮิตที่เด็กๆ ชื่นชอบ พร้อมเทคนิคทำให้ลูกชอบกินผักท้ายเล่ม เหมาะสำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้ของเด็กเล็ก

อ้ำ อ้ำ…หม่ำ หม่ำ
หนังสือภาพพร้อมเพลง ปลูกฝังสุขนิสัยที่ดีในการกินอาหารและเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับยานพาหนะที่เด็กชื่นชอบ เช่น รถไฟ ตุ๊กตุ๊ก เครื่องบินผ่านคำคล้องจองที่สามารถร้องเป็นเพลงแสนสนุก ส่งเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และทักษะทางภาษาอย่างสมบูรณ์ หนังสือเด็ก 0-6 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย, Amarin Baby & Kids, kapook.com