ใครๆ ก็ชอบถูกชม อย่าว่าแต่เด็กๆ เลยค่ะ
ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็ชอบ
รู้ป่ะคะ คำชมนี่แหละจะช่วยทำให้ลูก
มีความมั่นใจในตัวเอง
เวลาเค้าทำดี แม้จะเล็กๆ น้อยๆ
อย่างเก็บของเล่นเอง กินข้าวหมดจาน
เราก็ควรชมเค้า เมื่อลูกทำดีให้ชมเลย
ลูกจะภูมิใจและอยากทำต่อ
แต่ต้องชมด้วยน้ำเสียงจริงใจนะ
อย่าเฟค อย่าแอ๊บ เพราะเด็กๆ เค้ารู้
แล้วถ้าลูกดื้อ? ใครจะไปชมล่ะคะ
ก็ต้องมีตักเตือนกันบ้าง
แต่ก็อย่าตำหนิรุนแรงและพร่ำเพรื่อ
คำที่ห้ามใช้เลยคือโง่ เซ่อ ปัญญาอ่อน
หรืออะไรทั้งหลายที่เราชอบพูด
เวลาจะเหวี่ยงจะวีนใส่ใคร
ไม่ดีค่ะไม่ดีเลย มันเป็นสิ่งที่จะทำร้ายจิตใจลูกได้ง่ายมาก
และถ้าไม่ระวังจะส่งผลเสียในระยะยาวด้วยคำแย่ๆ
ที่พ่อแม่เผลอว่าลูกไม่กี่คำนี้แหละ
ท่องไว้ค่ะท่องไว้ จะพูดอะไรกับลูกให้คิดก่อนเสมอ
“ถ้าเป็นคำชมให้พูดทันที
ถ้าเป็นคำติ คิดดีๆ ก่อนพูด”
ต่อยอดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชมและการสื่อสารกับลูก:
การชมและการสื่อสารที่ดีกับลูกเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เราสามารถใช้โอกาสต่างๆ ในชีวิตประจำวันมาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ ยกตัวอย่างเช่น:
- ช่วงเวลาอ่านนิทาน การอ่านนิทานก่อนนอนเป็นโอกาสดีในการพูดคุยและชมเชยลูก เราสามารถชวนลูกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวละครในเรื่อง ถามความรู้สึก และชมเมื่อลูกแสดงความเห็นที่น่าสนใจ เช่น “หนูคิดเก่งมากที่เข้าใจความรู้สึกของตัวละครในนิทาน”
- ระหว่างการทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป ระบายสี หรือเล่นของเล่น ให้สังเกตกระบวนการทำงานของลูก แล้วชมในสิ่งที่เขาพยายาม เช่น “แม่เห็นว่าหนูตั้งใจวาดรูปมากเลย ใช้สีสวยด้วย”
- ในชีวิตประจำวัน แม้แต่การทำกิจวัตรธรรมดา เช่น แต่งตัว แปรงฟัน ก็สามารถใช้เป็นโอกาสในการชมได้ แต่ต้องระวังไม่ชมพร่ำเพรื่อจนเกินไป
- เมื่อเกิดความผิดพลาด แม้ลูกจะทำผิดพลาด ก็ยังสามารถหาจุดดีที่จะชมได้ เช่น “แม้ว่าครั้งนี้จะยังไม่สำเร็จ แต่แม่เห็นว่าหนูพยายามมากขึ้นกว่าครั้งก่อนนะ”
สิ่งสำคัญคือต้องชมอย่างมีความหมาย ไม่ใช่แค่พูดว่า “เก่งมาก” หรือ “ดีมาก” แต่ต้องบอกด้วยว่าเก่งตรงไหน ดีอย่างไร เพื่อให้ลูกเข้าใจและเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำ
เมื่อลูกได้รับคำชมที่จริงใจและมีความหมาย เขาจะค่อยๆ พัฒนาความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออกมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต