Author Archives: Passcation Admin

10 เทคนิคง่ายๆ ในการฝึกเด็กให้มีนิสัยการนอนที่ดี

การสร้างพฤติกรรมการนอนที่ดีสำหรับเด็กเล็กถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยพัฒนาสุขภาพและการเรียนรู้ของพวกเขา เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ปกครองมีวิธีการปรับกิจวัตรและสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพให้กับเด็กๆ

1. สร้างกิจวัตรก่อนนอนที่สม่ำเสมอ

การมีกิจวัตรที่ชัดเจนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กเล็กเข้าใจว่าถึงเวลานอนแล้ว โดย กิจกรรมก่อนนอน จะช่วยลดความเครียดและเตรียมร่างกายของเด็กให้พร้อมสำหรับการนอนลึกและต่อเนื่อง

ตัวอย่างกิจกรรมก่อนนอน:

  • อาบน้ำอุ่น**: ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
  • อ่านหนังสือหรือนิทาน**: ช่วยให้เด็กมีสมาธิและรู้สึกสงบ
  • การพูดคุยเบาๆ**: สร้างความผูกพันทางอารมณ์และความรู้สึกปลอดภัยให้กับเด็ก

2. ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการนอน

การสร้างห้องนอนที่เอื้อต่อการนอนเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การควบคุมแสงและเสียงในห้องนอน ซึ่งสามารถช่วยลดสิ่งรบกวนและทำให้เด็กนอนหลับสนิทตลอดคืน

เคล็ดลับ:

  • แสง: ใช้ม่านที่สามารถปิดแสงจากภายนอกได้ เพื่อช่วยให้ร่างกายของเด็กปรับตัวเข้าสู่โหมดการนอน
  • เสียง: ลดเสียงรบกวนหรือใช้เครื่องเสียงสีขาวเพื่อสร้างบรรยากาศสงบ
  • อุณหภูมิ: ตั้งอุณหภูมิห้องประมาณ 18-22 องศาเซลเซียส เพื่อให้เหมาะกับการนอน

3. จำกัดการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

แสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รบกวนการสร้างฮอร์โมนเมลาโทนินที่จำเป็นต่อการนอน การจำกัดการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ก่อนเวลานอนจะช่วยให้เด็กนอนหลับได้ง่ายขึ้น

กฎการใช้งานอุปกรณ์:

  • ปิดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน
  • ใช้โหมดลดแสงสีฟ้าหากจำเป็นต้องใช้ก่อนนอน

4. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายสามารถช่วยให้เด็กนอนหลับได้ดีขึ้น เพราะช่วยในการสร้างสมดุลระหว่างพลังงานที่ใช้ในระหว่างวันกับการผ่อนคลายเมื่อถึงเวลานอน

กิจกรรมที่แนะนำ:

  • การเล่นกีฬาที่กระตุ้นให้เด็กเคลื่อนไหว
  • การเดินหรือวิ่งเล่นกลางแจ้ง
  • โยคะหรือการฝึกสมาธิ

5. กำหนดเวลาเข้านอนที่แน่นอน

การเข้านอนและตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกวันช่วยให้ร่างกายของเด็กปรับตัวเข้าสู่รอบการนอนที่สม่ำเสมอ ส่งผลให้พวกเขาสามารถนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ตั้งเวลาเข้านอนที่แน่นอนทุกคืน
  • รักษากิจวัตรนี้แม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์

6. อาหารที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับ

อาหารบางชนิดสามารถช่วยให้เด็กนอนหลับได้ดีขึ้น เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูงหรืออาหารที่มีทริปโตเฟน เช่น นมอุ่นๆ หรือกล้วย ช่วยเพิ่มการผลิตเมลาโทนินในร่างกาย

ตัวอย่างอาหารก่อนนอน:

  • นมอุ่นๆ
  • กล้วย
  • ขนมปังโฮลวีต

7. การจัดการกับความเครียด

การเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมการนอนหลับที่ดี การสอนเทคนิคการหายใจลึกๆ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กับเด็กจะช่วยให้พวกเขารู้สึกสงบและนอนหลับง่ายขึ้น

เทคนิค:

  • การฝึกหายใจเข้าลึกๆ และออกยาวๆ
  • การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อทีละส่วนของร่างกาย

8. ลดปริมาณคาเฟอีน

หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงเย็นหรือก่อนนอน เนื่องจากคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและยับยั้งการนอนหลับที่ลึกและยาวนาน

9. สนับสนุนให้มีการนอนกลางวันในเวลาที่เหมาะสม

การนอนกลางวันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กเล็ก แต่การกำหนดเวลานอนกลางวันไม่ควรใกล้เวลานอนตอนกลางคืนเกินไป เพื่อให้เด็กสามารถหลับสนิทตอนกลางคืนได้อย่างเต็มที่

10. ให้เวลาเด็กได้ปรับตัว

หากเด็กมีการเปลี่ยนแปลงกิจวัตร เช่น การย้ายบ้าน หรือการไปโรงเรียนใหม่ ให้เวลาเด็กในการปรับตัว การสร้างความมั่นคงในชีวิตประจำวันของพวกเขาจะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น

สรุป

การนอนหลับที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็ก การปรับเปลี่ยนกิจวัตรและสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการนอนหลับที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กๆ รู้สึกสดชื่น แต่ยังเสริมสร้างสุขภาพและการเรียนรู้ของพวกเขาด้วย

พลิกโฉมความสัมพันธ์ของลูกด้วยบทเรียนการสื่อสารจากเรื่องราวของเหล่าไดโนน้อย

สำหรับพ่อแม่มือใหม่ การสร้างสัมพันธภาพที่ดีและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับลูกน้อยนับเป็นความท้าทายไม่น้อย บางครั้งความไม่เข้าใจกันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน แต่รู้หรือไม่ว่า เรื่องราวของไดโนเสาร์ตัวน้อย T-Rex David และผองเพื่อนจากซีรีส์ “Tyrannosaurus David and Friends – Social Communication Series” ได้ซ่อนบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่จะช่วยพลิกโฉมความสัมพันธ์ระหว่างคุณและลูกได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรามาร่วมไขรหัสความสำเร็จและค้นหาวิธีการสื่อสารเชิงบวกผ่านมุมมองของ T-Rex David กันเลย

1. รับฟังด้วยใจจริง

บทเรียนแรกจากเรื่อง “The fish pie” หน้า 12-13 คือ การเป็นผู้ฟังที่ดี เมื่อ T-Rex David ตั้งใจฟังเพื่อนอธิบายสูตรทำพายปลาอย่างใส่ใจ ไม่พูดแทรก สัมพันธภาพของพวกเขาก็แน่นแฟ้นขึ้น การฟังลูกพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ด่วนตัดสินหรือสอนทันที จะทำให้ลูกรู้สึกว่าเขามีคุณค่าและความคิดของเขาได้รับการเคารพ ส่งผลดีต่อความไว้วางใจและการเปิดใจสื่อสาร

2. แสดงความเห็นอกเห็นใจ

อีกบทเรียนสำคัญจากเรื่อง “I am better than you” หน้า 18-19 คือ การแสดงความเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย เมื่อเพื่อนไม่สบายใจ T-Rex David จะปลอบโยนและให้กำลังใจ ทำให้เพื่อนรู้สึกอุ่นใจ เด็กๆ ก็เช่นกัน เมื่อเขาเผชิญเรื่องยากลำบาก คำพูดที่แสดงว่าเรารู้สึกเห็นอกเห็นใจและพร้อมอยู่เคียงข้าง จะช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาอันท้าทายไปได้ด้วยความมั่นใจ

3. ให้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน

T-Rex David มักมีไอเดียสนุกๆ ในการทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น เล่นเกม ปั้นแป้งโดว์ ออกผจญภัย จะเห็นได้จากเรื่อง “Scary mud monster” หน้า 16-17 ที่การร่วมกันสร้างประติมากรรมโคลนทำให้ทุกตัวสนิทสนมยิ่งขึ้น การใช้เวลาทำกิจกรรมที่ลูกสนใจด้วยกันอย่างมีคุณภาพ จะช่วยสานความผูกพันทางใจ สร้างความทรงจำดีๆ ที่จะหล่อหลอมสายใยแห่งรักภายในครอบครัว
.4. เห็นคุณาในตัวลูก
เรื่อง “I am better than you” หน้า 16-17 ฉายภาพ T-Rex David ที่แม้มั่นใจในตัวเองสูง แต่ก็ชื่นชมยินดีในความสามารถของเพื่อนๆ ไม่ดูถูกดูแคลน พ่อแม่ก็ควรเห็นคุณค่าในตัวลูกเช่นกัน ให้เขารู้ว่าเรารัก ชื่นชม และภูมิใจในตัวเขา ไม่ว่าเขาจะมีดีหรือด้อยกว่าใคร อย่าตัดสินหรือเปรียบเทียบ แค่สนับสนุนลูกให้กล้าเป็นตัวของตัวเอง ความมั่นใจในตนเองจะช่วยให้ลูกกล้าสื่อสารและเข้าสังคมอย่างเต็มภาคภูมิ
.

5. ให้อภัยและเริ่มต้นใหม่

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเกิดการผิดใจหรือทะเลาะกัน อย่าผูกใจเจ็บหรือตอกย้ำความผิด ให้เรียนรู้จาก T-Rex David ที่ไม่ถือโทษโกรธเพื่อนเรื่องโกงเกม ใน “It doesn’t count” หน้า 22-23 เขาเลือกที่จะให้อภัยและเริ่มต้นกิจกรรมใหม่ด้วยกัน การหยุดโต้เถียง ยอมรับผิด ให้อภัย และหาทางออกร่วมกันในเชิงบวก จะช่วยแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ และนำความเข้าใจกลับคืนสู่ความสัมพันธ์

.

6. สอนให้แบ่งปัน

ไม่มีอะไรสร้างความผูกพันได้ดีไปกว่าการแบ่งปัน ดูอย่าง T-Rex David ที่พร้อมจะแบ่งของดีๆ ให้เพื่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพายปลาอันโอชะใน “The fish pie” หน้า 16-17 หรือสูตรยาวิเศษใน “Magic potion” หน้า 14-15 การแบ่งปันช่วยสอนให้ลูกมีน้ำใจเอื้ออารี รู้จักการให้และการได้รับ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญของการมีสัมพันธภาพที่ดี เมื่อลูกได้รับความรักและเอาใจใส่ เขาก็จะส่งต่อพลังบวกนั้นให้แก่ผู้อื่น

7. เป็นแบบอย่างที่ดี

T-Rex David เป็นต้นแบบของการตั้งใจฟัง เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เป็นเพื่อนที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มองโลกในแง่ดี กล้าเป็นตัวเอง และพัฒนาตนเองตลอดเวลา นี่คือคุณสมบัติที่พ่อแม่ควรแสดงให้เห็นเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกๆ เรื่อง “Making friends” หน้า 22-23 ให้ข้อคิดว่า พฤติกรรมของผู้ใหญ่จะถูกเด็กๆ ทำตาม ดังนั้น จงรักษาคำพูดและการกระทำ ให้ระวังอารมณ์ เป็นผู้ใหญ่ที่คุณอยากให้ลูกเป็น นั่นคือวิธีปลูกฝังคุณค่าที่ดีที่สุด
.
T-Rex David สะท้อนให้เห็นว่า การมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เริ่มต้นที่การสื่อสารอย่างเปิดใจ ฟังในสิ่งที่ลูกสื่อสารกับเรา ทั้งคำพูดและภาษากาย ตอบสนองความต้องการของลูกด้วยความเข้าอกเข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ แล้วความผูกพัน ความสนิทสนม และความไว้วางใจก็จะเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถพูดคุยกันได้ในทุกประเด็น ไม่ว่าธรรมดาหรืออ่อนไหวเพียงใด
.
เราทุกคนล้วนต้องการการเชื่อมต่อและความรักจากครอบครัว หลักการสื่อสารจากไดโนเสาร์น้อย T-Rex David สามารถเป็นประทีปส่องทางให้พ่อแม่มือใหม่ ที่กำลังมุ่งมั่นสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีงามกับลูกๆ ไม่ต้องท้อใจกับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา ขอเพียงมองลูกด้วยหัวใจ เดินเคียงข้างเขาไปพร้อมๆ กัน ให้เวลา ความเข้าใจ และการสนับสนุน ไม่ว่าสถานการณ์จะขรุขระแค่ไหน เส้นทางแห่งสายสัมพันธ์อันอบอุ่นก็จะค่อยๆ ปูทางให้คุณและลูกก้าวเดินด้วยกันอย่างมีความสุข

ฝึกลูกนั่งกระโถนแบบคุณแม่มืออาชีพ

1. บอกลูกว่า “ถ้ารู้สึกมีอะไรตุงๆ ที่ก้นให้บอกแม่ทันทีนะจ๊ะ”

2. พาไปนั่งเล่นบนกระโถนให้คุ้น หรือนั่งฟังนิทานไปด้วย

3. สังเกตว่าลูกมักจะอึเมื่อไหร่

4. เมื่อถึงเวลาก็พาไปนั่งเล่นบนกระโถน

5. ช่วยลูกถอดกางเกง

6. ทำเช่นนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตร

7. ชมลูกที่นั่งบนกระโถนเป็น จะช่วยให้ลูกมีกำลังใจ อยากทำอีกเรื่อยๆ


ป๋องแป๋งอึไม่ออก นิทานเด็ก ฝึกวินัยการกินเพื่อการขับถ่ายที่ดี หนังสือสำหรับเด็ก 4-6 ปี

ป๋องแป๋งไม่อั้นฉี่ นิทานเด็ก ฝึกลูกให้ไม่อั้นฉี่ รู้จักทำความสะอาดเมื่อฉี่เสร็จ หนังสือสำหรับเด็ก 0-6 ปี

ป๋องแป๋งเลิกใช้ผ้าอ้อม นิทานเด็ก ฝึกให้ใส่กางเกงในแทนผ้าอ้อมในวัยเหมาะสม หนังสือสำหรับเด็ก 0-6 ปี

อุ๊ย อึ๊ โอ้โฮ หนังสือเด็ก ปลูกฝังสุขนิสัยที่ดีในการขับถ่าย (สแกนQRCode ฟังเพลงแสนสนุกได้ที่ปกหลัง) หนังสือสำหรับเด็ก 0-6 ปี

ฝึกลูกให้ตั้งคำถาม

ฝึกลูกให้ตั้งคำถามนั้นไม่ยาก วิธีที่ง่ายที่สุดคือ หมั่นใช้ 2 คำนี้ คือ “ทำไม” กับ “ถ้า” เช่น “ทำไมหนูถึงชอบนิทานเล่มนี้จ้ะ” “ถ้าเป็นหนูจะทำแบบนั้นมั้ย” ฯลฯ เมื่อถามลูกประจำ ลูกจะเลียนแบบและเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ รอบตัวจนเป็นนิสัย นำไปสู่การอยากหาคำตอบให้ได้ ช่วยกระตุ้นให้ลูกกระตือรือร้นอยากเรียนรู้เองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับเลยยิ่งไปกว่านั้น การฝึกให้ลูกตั้งคำถามยังมีประโยชน์อีกหลายด้าน ที่จะช่วยพัฒนาทักษะสำคัญสำหรับอนาคต ดังนี้

  1. พัฒนาความคิดวิเคราะห์ เมื่อลูกตั้งคำถาม “ทำไม” บ่อยๆ จะช่วยฝึกให้เขารู้จักคิดวิเคราะห์ เชื่อมโยงเหตุและผล เช่น “ทำไมฝนถึงตก” “ทำไมใบไม้เปลี่ยนสี” คำถามเหล่านี้จะนำไปสู่การค้นคว้าหาคำตอบที่ลึกซึ้งขึ้น

  2. เสริมสร้างจินตนาการ การใช้คำว่า “ถ้า” ช่วยกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เช่น “ถ้าเราสามารถบินได้จะทำอะไร” “ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์จะประดิษฐ์อะไร” ทำให้ลูกกล้าคิดนอกกรอบ

  3. เพิ่มทักษะการสื่อสาร การตั้งคำถามและการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสาร ทำให้ลูกสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างมั่นใจ และรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

  4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี การพูดคุยผ่านการตั้งคำถามจะช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นในครอบครัว ทำให้ลูกรู้สึกว่าความคิดเห็นของเขามีคุณค่า และกล้าที่จะแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ กับพ่อแม่

  5. เตรียมความพร้อมสู่การเรียนรู้ เมื่อลูกมีนิสัยชอบตั้งคำถาม จะทำให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการเรียนและการทำงานในอนาคต

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ควรตอบคำถามของลูกด้วยความใส่ใจและอดทน แม้บางครั้งคำถามอาจดูเหมือนไม่สำคัญ แต่การตอบสนองในเชิงบวกจะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีความมั่นใจในการตั้งคำถามและค้นหาคำตอบต่อไป

นิทานต่างมุม 4 เล่ม ฝึกลูกคิด ตั้งคำถามตามความเข้าใจตัวเอง………………

ฝึกความรับผิดชอบให้กับลูก 5 วิธีง่าย ๆ

วินัยและความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญที่ควรปลูกฝังกันตั้งแต่เล็ก ไม่ต้องรอให้ถึงวัยเข้าโรงเรียนเลยค่ะ สำหรับเด็กเล็กพ่อแม่สามารถสอนได้ทันทีตั้งแต่อยู่ที่บ้าน เริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัวง่ายๆ ที่เด็กๆ พบเห็นได้ทุกวัน ดังนี้

1. เก็บของเล่น ทุกครั้งที่ลูกเล่นของเล่นเสร็จแล้ว พ่อแม่ต้องสอนลูกให้จัดเก็บใส่กล่อง ชั้น หรือเก็บวางเข้าที่ให้เรียบร้อย ในระยะแรกพ่อแม่ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างและชวนลูกทำตามในบรรยากาศเป็นกันเอง ไม่บังคับ ดุด่า รวมถึงขณะเล่นก็ควรสอนให้เขารู้จักดูแลรักษาของเล่น ไม่ทิ้งขว้าง ทำลาย

2. เก็บที่นอน ฝึกลูกให้รู้จักเก็บที่นอน หมอน พับผ้าห่มเอง ซึ่งลูกอาจยังทำได้ไม่เรียบร้อยนัก แต่พ่อแม่ก็ควรให้เขาได้ฝึกทำเองก่อน เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าเขาทำได้ มั่นใจและภูมิใจที่ได้ทำ โดยพ่อแม่ต้องพูดชมให้กำลังใจลูกเสมอเมื่อเขาทำได้

3. ดูแลความเรียบร้อยในบ้าน เป็นการสอนให้ลูกมีส่วนร่วมรับผิดชอบในครอบครัว แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ลูกจะรู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือพ่อแม่และเป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่น สอนให้ลูกปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน ถอดปลั๊กไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าหลังใช้เสร็จ ช่วยเก็บผ้าที่ตากไว้เมื่อแห้ง ช่วยพับผ้า เป็นต้น  

4. ดูแลสัตว์เลี้ยง ต้นไม้ เช่น ให้อาหาร อาบน้ำสุนัข รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย หรือนำเศษใบไม้ เศษอาหารมาทำปุ๋ยหมัก อีกทั้งยังช่วยกล่อมเกลาให้ลูกมีจิตใจเมตตาและรักธรรมชาติ

5. ดูแลน้อง ครอบครัวที่มีพี่น้อง พ่อแม่อาจกำหนดให้พี่ช่วยดูแลน้อง เช่น ช่วยแม่อาบน้ำให้น้อง ป้อนข้าว แต่งตัว ซึ่งช่วยสร้างความรักความผูกพันระหว่างพี่น้องได้อย่างดีมากด้วย 

การปลูกฝังความรับผิดชอบให้เด็กเล็กควรเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว เมื่อลูกโตขึ้นพ่อแม่จึงค่อยเพิ่มความรับผิดชอบที่มากขึ้นตามลำดับ โดยพิจารณาความยากง่ายของกิจกรรมให้เหมาะสมกับช่วงวัย และสิ่งสำคัญพ่อแม่จะต้องทำเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกก่อนเสมอนะคะ


ป๋องแป๋ง ชุดมีน้อง นิทานเด็ก ป๋องแป๋ง ชุดมีน้อง นิทานก่อนนอน ฝึกให้รักและผูกพันกับน้อง สร้างทักษะทางสังคม หนังสือสำหรับเด็ก 4-6 ปี

ป๋องแป๋งทำงานบ้าน นิทานเด็ก ป๋องแป๋งทำงานบ้าน ฝึกทักษะ EF ผ่านการทำงานบ้าน ฝึกความรับผิดชอบ นิทานก่อนนอน หนังสือสำหรับเด็ก 4-6 ปี

ป๋องแป๋งแต่งตัว นิทานเด็ก ป๋องแป๋งแต่งตัว นิทานก่อนนอน ฝึกให้แต่งตัวเองได้ หนังสือสำหรับเด็ก 0-3 ปี

เก็บเอง เก่งจัง หนังสือเด็ก เรียนรู้ระเบียบวินัย รู้จักเก็บของเล่น (สแกนQRCode ฟังเพลงแสนสนุกได้ที่ปกหลัง) หนังสือสำหรับเด็ก 0-6 ปี

ฝึกลูกให้อารมณ์ดี EQ สูง

มีผลวิจัยเกี่ยวกับอารมณ์ขันในเด็กพบว่า เด็กที่ชอบหัวเราะ ยิ้มแย้ม อารมณ์ดีจะมีแนวโน้มโตขึ้นเป็นคนที่มีระดับ IQ สูง รู้จักแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม และมีความสุข เนื่องจากเซลล์ประสาทสมองของเด็กจะแตกแขนงเชื่อมโยงกัน เก็บบันทึกช่วงเวลาแห่งความสุขเหล่านั้นเป็นความทรงจำลงในจิตใต้สำนึกไว้ตลอดชีวิตนั่นเอง

สำหรับเด็กเล็ก 1-3 ปีปกติเป็นวัยที่หัวเราะง่ายอยู่แล้ว เพียงแค่พ่อแม่ให้ความเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิด กิจวัตรทั่วไปก็สามารถสร้างอารมณ์ขันให้ลูกได้ไม่ยากเลยค่ะ มีอะไรบ้างมาดูกันเลย    

1. ทำหน้าตาแปลกๆ เช่น ทำแก้มป่อง ปากจู๋ ยักคิ้ว จมูกบี้ ฯลฯ เล่นกับลูก หรือให้ลองทำตามแล้วส่องกระจกดูหน้าตัวเอง

2. แปลงเนื้อเพลงใหม่ นำเพลงที่ลูกชอบมาเปลี่ยนเนื้อเพลงให้ตลกขบขัน อาจใส่ชื่อลูกเข้าไปในเนื้อเพลงด้วย เด็กจะชอบมาก

3. ทำท่าทางเลียนแบบตัวการ์ตูนหรือตัวละครที่ลูกชอบ สามารถใช้การพูดล้อเลียนบทสนทนาที่ตัวละครเหล่านั้นชอบพูดด้วยก็ได้

4. เป่าฟองสบู่ ขณะลูกอาบน้ำ ให้ใช้หลอดเป่าน้ำสบู่หรือยาสระผมเป็นฟองลอยไปตามอากาศ เด็กจะสนุกมากที่ได้จับฟองเล่นแล้วแตกโพละ!

5. เล่นจ๊ะเอ๋ เป็นการเล่นที่เด็กวัยนี้โปรดปรานมาก แค่พ่อแม่เอามือปิดหน้าแล้วจ๊ะเอ๋ หรือโผล่หน้าจากที่กันบังมาจ๊ะเอ๋ ก็สามารถทำให้ลูกขำเอิ๊กอ๊ากไม่หยุดแล้ว

6. เล่นปูไต่ สมมุติกับลูกว่ามือพ่อแม่เป็นตัวปูหรือแมงมุมแล้วใช้นิ้วไต่ไปตามตัวลูก หยุดแวะจั๊กจี้ตามพุง ตามฝ่ามือบ้าง รับรองว่าลูกจะหัวเราะไม่หยุดทีเดียว

ความจริงยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่สร้างอารมณ์ขัน เสียงหัวเราะให้กับลูก ซึ่งล้วนแต่ทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นอกจากจะสร้าง EQ ที่ดีให้ลูกแล้วยังช่วยสานรักผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกได้อย่างดีมากๆ เลยค่ะ

ธรรมชาติของเด็กเล็กจะเรียนรู้อารมณ์และการแสดงออกจากคนที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ พูดง่ายๆ พ่อแม่เป็นคนอารมณ์แบบไหน ลูกก็จะซึมซับอารมณ์แบบนั้นเข้ามา ถ้าปล่อยลูกไว้กับหน้าจอมือถือ แท็บเล็ต ลูกก็จะแสดงออกในเดียวกับภาพที่เห็นบ่อยๆ นั้น นั่นคือ เปลี่ยนเร็ว อารมณ์แปรปรวน ใจร้อน เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นเด็กก้าวร้าวได้ง่าย เลี้ยงลูกให้รู้จักควบคุมอารมณ์เป็น EQ สูง จึงต้องเริ่มจากดูแล EQ ของพ่อแม่เองก่อน


ป๋องแป๋งชุด EQ นิทานเด็ก ป๋องแป๋ง ชุด EQ นิทานก่อนนอน สอนลูกให้รู้วิธีควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม หนังสือสำหรับเด็ก 4-6 ปี

อ่านนิทานให้ลูกฟัง เมื่อไหร่ดี

บทนำ

การอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและสำคัญที่ช่วยส่งเสริมทักษะการอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในฐานะผู้ปกครอง คุณอาจกระตือรือร้นที่จะแนะนำหนังสือนิทานให้กับลูกน้อยของคุณ ในขณะที่เด็กทุกคนมีพัฒนาการตามจังหวะของตนเอง บทความนี้จะสำรวจลำดับเวลาทั่วไปว่าคุณควรอ่านหนังสือนิทานเล่มแรกให้ลูกฟังเมื่อใด มาดูกัน!

ทำความเข้าใจการพัฒนาภาษาในช่วงต้น

ก่อนที่จะเจาะลึกว่าเมื่อใดที่คุณสามารถเริ่มอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจขั้นตอนพัฒนาการทางภาษาในช่วงขวบปีแรก เด็กทารกจะเน้นการฟังและเลียนเสียงเป็นหลัก พวกเขาเริ่มพูดพล่ามและส่งเสียงง่ายๆ ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนรู้ภาษา

เมื่ออายุประมาณหนึ่งขวบ เด็ก ๆ จะเริ่มใช้คำแรกและค่อย ๆ ขยายคำศัพท์ของพวกเขา พวกเขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจคำสั่งและคำสั่งง่ายๆ เมื่ออายุได้สองขวบ เด็กวัยหัดเดินอาจเริ่มสร้างประโยคสั้นๆ และมีส่วนร่วมในการสนทนาพื้นฐาน

ขั้นที่ 1: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ Board Books (6-12 เดือน)

ระหว่างหกถึงสิบสองเดือน ลูกของคุณจะสนใจในการสำรวจสิ่งของมากขึ้น รวมถึงหนังสือด้วย นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการแนะนำบอร์ดบุ๊กที่มีสีสันสดใส รูปภาพเรียบง่าย และข้อความน้อยที่สุด แม้ว่าลูกน้อยของคุณอาจไม่เข้าใจเรื่องราว แต่พวกเขาจะสนุกกับการดูภาพ พลิกหน้า และสำรวจแง่มุมสัมผัสของหนังสือ

เลือกหนังสือกระดานที่มีหน้ากระดาษแข็งแรงทนทานต่อการเคี้ยวและน้ำลายไหล คุณสามารถอ่านออกเสียงให้ลูกฟัง ชี้สิ่งของ และสร้างเอฟเฟกต์เสียงง่ายๆ เพื่อดึงความสนใจของพวกเขา

ขั้นที่ 2: หนังสือภาพและเรื่องราวง่ายๆ (12-24 เดือน)

เมื่ออายุประมาณหนึ่งขวบ เด็ก ๆ จะเริ่มเข้าใจแนวคิดเรื่องความคงทนของวัตถุ โดยเข้าใจว่าวัตถุนั้นมีอยู่จริงแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม การพัฒนาความรู้ความเข้าใจนี้เปิดโอกาสในการอ่านหนังสือภาพที่มีเรื่องราวง่ายๆ

เลือกใช้หนังสือภาพที่มีภาพประกอบขนาดใหญ่ สีสันสดใส และข้อความน้อยที่สุด เลือกนิทานที่มีวลีหรือคำคล้องจองซ้ำๆ ที่ดึงดูดความสนใจของลูก กระตุ้นให้ลูกชี้ไปที่สิ่งของในหนังสือและเลียนแบบเสียงสัตว์หรือคำง่ายๆ

ขั้นที่ 3: เรื่องเล่าพร้อมเรื่องเล่าง่ายๆ (2-3 ปี)

ระหว่างอายุสองถึงสามขวบ ทักษะทางภาษาของเด็กจะมีการเติบโตอย่างมาก พวกเขาเริ่มเข้าใจและใช้ประโยคที่ซับซ้อนมากขึ้นและเล่นโดยใช้จินตนาการ ขั้นตอนนี้เหมาะสำหรับการแนะนำหนังสือนิทานที่มีเรื่องเล่าง่ายๆ

เลือกหนังสือนิทานที่มีโครงเรื่องน่าดึงดูด ตัวละครที่เกี่ยวข้อง และไม่กี่ประโยคต่อหน้า มองหาหนังสือที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมแบบโต้ตอบ เช่น การถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวหรือตัวละคร ลูกของคุณจะเริ่มทำตามและพัฒนาความเข้าใจพื้นฐานของโครงเรื่อง

ขั้นที่ 4: สำรวจเรื่องราวที่ยาวขึ้น (3-4 ปี)

เมื่อลูกของคุณอายุใกล้สามขวบ พวกเขาจะมีคำศัพท์ที่กว้างขึ้นและช่วงความสนใจที่ยาวขึ้น ในขั้นตอนนี้ คุณสามารถเริ่มอ่านหนังสือนิทานที่ยาวขึ้นพร้อมโครงเรื่องที่มีรายละเอียดมากขึ้นและภาษาบรรยาย

เลือกหนังสือที่มีภาพประกอบที่น่าสนใจ ธีมที่เหมาะสมกับวัย และประโยคที่อาจครอบคลุมย่อหน้า กระตุ้นให้บุตรหลานของคุณคาดเดาสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในเรื่องราวและถามคำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์

ขั้นที่ 5: การพัฒนาทักษะการอ่าน (4 ปีขึ้นไป)

เมื่อลูกของคุณก้าวหน้าเกินอายุสี่ขวบ ทักษะการอ่านของพวกเขาก็จะพัฒนาต่อไป พวกเขาอาจเริ่มจำคำศัพท์ที่คุ้นเคย ออกเสียงตัวอักษร หรือแม้แต่พยายามอ่านประโยคง่ายๆ นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่คุณสามารถค่อยๆ เปลี่ยนจากการอ่านหนังสือให้ลูกอ่านเป็นการอ่านกับลูกได้

กระตุ้นให้ลูกของคุณมีส่วนร่วมในกิจกรรมการอ่านโดยผลัดกันอ่านประโยคหรือหน้าต่างๆ เลือกหนังสือที่มีตัวพิมพ์ขนาดใหญ่และคำศัพท์ง่ายๆ ที่สอดคล้องกับระดับการอ่าน เสนอคำชมและการสนับสนุนเมื่อพวกเขาก้าวหน้าในเส้นทางการอ่าน

ขั้นที่ 6: หนังสือนิทานขั้นสูงและหนังสือบท (6+ ปี)

เมื่ออายุประมาณหกขวบ เด็กจำนวนมากพร้อมสำหรับหนังสือนิทานและหนังสือบทขั้นสูง ในขั้นตอนนี้พวกเขาได้พัฒนาพื้นฐานที่มั่นคงในทักษะการอ่านและการจับใจความ

แนะนำหนังสือบทที่มีโครงเรื่องที่น่าสนใจ ตัวละครที่น่าสนใจ และเรื่องเล่าที่ซับซ้อนมากขึ้น ส่งเสริมให้ลูกของคุณอ่านอย่างอิสระ ในขณะที่ยังคงมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องราวและตัวละคร ขั้นตอนนี้นับเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางการอ่านของพวกเขาและเปิดโลกแห่งจินตนาการและการค้นพบ

เคล็ดลับในการอ่านหนังสือกับลูกของคุณ
  1. อ่านหนังสือให้เป็นนิสัย: แบ่งเวลาอ่านหนังสือกับลูกเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นก่อนนอนหรือระหว่างวัน ความสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกิจวัตรการอ่าน
  2. สร้างสภาพแวดล้อมในการอ่านหนังสือที่สะดวกสบาย: หาจุดที่สะดวกสบายที่คุณและบุตรหลานของคุณสามารถอ่านหนังสือได้ ทำให้เป็นประสบการณ์ที่ผ่อนคลายและสนุกสนาน
  3. ใช้เสียงและท่าทางที่แสดงความรู้สึก: ทำให้เรื่องราวมีชีวิตชีวาโดยใช้เสียงที่แตกต่างกันสำหรับตัวละครและผสมผสานท่าทาง สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การเล่าเรื่องและดึงดูดความสนใจของบุตรหลานของคุณ
  4. ส่งเสริมการโต้ตอบ: ถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องราว ตัวละคร และภาพประกอบ กระตุ้นให้ลูกของคุณทำนาย แสดงความคิด และเชื่อมโยงเรื่องราวกับประสบการณ์ของพวกเขาเอง
  5. สร้างห้องสมุดที่หลากหลาย: แนะนำบุตรหลานของคุณให้รู้จักกับหนังสือที่หลากหลาย รวมถึงประเภท วัฒนธรรม และมุมมองที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของพวกเขาและส่งเสริมการเอาใจใส่และความเข้าใจ

สรุป

การอ่านหนังสือนิทานเล่มแรกให้ลูกฟังถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในเส้นทางการรู้หนังสือในช่วงแรกๆ ของพวกเขา เมื่อเข้าใจขั้นตอนของพัฒนาการทางภาษาและเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับวัย คุณจะสามารถสร้างความรักในการอ่านและวางรากฐานสำหรับทักษะการรู้หนังสือที่แข็งแกร่งได้

โปรดจำไว้ว่า การอ่านไม่ใช่แค่การถอดรหัสคำเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับความสุขของการเล่าเรื่อง จินตนาการ และความเชื่อมโยงด้วย หวงแหนช่วงเวลาอันมีค่าเหล่านี้กับลูกของคุณในขณะที่คุณเริ่มต้นการผจญภัยตลอดชีวิตผ่านหน้าหนังสือนิทาน มีความสุขในการอ่าน!

ปิดเทอมอย่างไร ไม่ให้ลูกความรู้หาย

ปัญหาหนึ่งของปิดเทอมใหญ่ หยุดกันยาว ๆ แบบนี้ ก็คือลูกลืมความรู้ที่เคยเรียนมาไปหมด

คำที่เคยสะกดถูกกลับเขียนผิดโจทย์เลขที่เคยทำได้ก็ลืมวิธีคิดไปแล้ว

ทำไงดี วิธีแก้ไม่ยาก เพียงแค่…

นำหนังสือหรือแบบฝึกของเทอมที่แล้วมาเล่นกับลูก
แต่หากหวังจะให้ลูกนั่งอ่านคนเดียวคงยาก เพราะไม่สนุกเท่าดูการ์ตูน

หรือวิ่งเล่น ดังนั้นพ่อแม่จำเป็นต้องชี้ชวนสร้างบรรยากาศการอ่านให้สนุกสนาน

เช่น ชวนลูกมาแข่งกันอ่านคำภาษาไทยทีละคำ หรือแข่งกันทำโจทย์เลขทีละข้อ

(อาจกำหนดเวลาสั้นๆ เช่น 10 นาที, 15 นาที) ใครทำได้มากที่สุดชนะ

จะได้สิทธิ์เลือกเมนูโปรดมื้อเย็น 1 อย่าง

นอกจากนี้พ่อแม่ยังสามารถคิดคำหรือตั้งโจทย์ขึ้นมาเองก็ได้

(ซึ่งควรเรียงจากง่ายไปยาก) ก็จะเป็นโอกาสดีในการสอนลูกไปในตัว

ผ่านการเล่นสนุกโดยไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดจริงจัง


นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคและกิจกรรมอื่นๆ ที่จะช่วยให้การทบทวนบทเรียนในช่วงปิดเทอมสนุกและได้ผลมากขึ้น ดังนี้

  1. สร้างเกมการเรียนรู้
  • เล่นบิงโกคำศัพท์ โดยวาดตารางและเขียนคำศัพท์ที่เรียนมาลงไป
  • เล่นเกมใบ้คำจากเนื้อหาที่เรียน เช่น ใบ้คำศัพท์วิทยาศาสตร์ หรือคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
  • ทำบัตรคำแฟลชการ์ดสำหรับท่องจำสูตรคณิตศาสตร์หรือคำศัพท์
  1. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
  • ดูคลิปการสอนสั้นๆ ในยูทูบที่เกี่ยวกับบทเรียน
  • เล่นแอปพลิเคชันเกมการศึกษาที่สอดคล้องกับระดับชั้น
  • ให้ลูกสร้างคลิปวิดีโอสั้นๆ อธิบายสิ่งที่เรียนมา
  1. เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน
  • ฝึกคำนวณจากการช่วยทำอาหาร ชั่งตวง วัด
  • ฝึกอ่านและเขียนผ่านการทำไดอารี่ประจำวัน
  • ฝึกภาษาอังกฤษจากการอ่านฉลากสินค้า หรือป้ายต่างๆ
  1. จัดตารางเวลาที่เหมาะสม
  • กำหนดช่วงเวลาทบทวนสั้นๆ วันละ 30 นาที
  • แบ่งวิชาให้เหมาะสม ไม่ทบทวนหนักเกินไป
  • มีช่วงพักสั้นๆ ระหว่างการเรียน
  1. ให้รางวัลเป็นกำลังใจ
  • ชื่นชมเมื่อลูกพยายามและมีพัฒนาการ
  • ให้สติกเกอร์หรือดาวเมื่อทำได้ตามเป้าหมาย
  • จัดกิจกรรมสนุกๆ เป็นรางวัลเมื่อทำได้ตามที่ตกลง

สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ต้องอดทนและให้กำลังใจลูก ไม่กดดันหรือคาดหวังมากเกินไป เพราะช่วงปิดเทอมควรเป็นเวลาที่ลูกได้พักผ่อนและเรียนรู้อย่างมีความสุข การทบทวนควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เน้นความสนุกและความเข้าใจมากกว่าการท่องจำ เมื่อลูกรู้สึกสนุกกับการเรียน เขาจะมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น

ป้องกันลูกจากการถูกลักพาตัว

ข่าวลักพาตัวเด็กยังมีให้เห็นเรื่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ประมาณ ดูแลเจ้าตัวเล็กกันอย่างใกล้ชิด วันนี้พี่คิดส์ซี่มีวิธีรับมือกับภัยใกล้ตัวนี้มาฝากกันค่ะ

1. สอนลูกไม่ให้คุย หรือรับขนมจากคนแปลกหน้า แม้ว่าคนนั้นจะพูดจาดี น่าเชื่อถือก็ตาม บอกลูกว่า อย่าเพิ่งเชื่อหรือไว้ใจเด็ดขาด ควรแจ้งผู้ใหญ่ก่อนเสมอ

2. ซักซ้อมเล่นจำลองสถานการณ์กับลูกว่าหากเกิดเหตุการณ์จริงควรทำอย่างไรกันดี เช่น หลงทางในห้างสรรพสินค้าจะทำอย่างไร  อาจขอความช่วยเหลือจากพนักงานห้าง ไม่หลงเชื่อคนแปลกหน้าที่เข้ามาบอกว่าจะพาไปส่งที่บ้าน เป็นต้น

3. ไม่ควรปล่อยลูกอยู่คนเดียวที่บ้าน หรือตามสถานที่ต่างๆ แม้ว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย เพราะอาจเกิดอันตรายจากมิจฉาชีพได้ จากผลสำรวจพบว่าสถานที่ที่เด็กถูกลักพาตัวมากที่สุดก็คือ ร้านเกม บริเวณบ้าน และห้างสรรพสินค้าตามลำดับ

4. ให้ลูกจดจำข้อมูลของคุณพ่อคุณแม่ หรือเขียนใส่กระดาษพกติดตัวไว้ เช่น ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ และสอนให้ลูกบอกข้อมูลกับคนที่น่าไว้ใจได้เท่านั้นเมื่อหลงทาง เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจ

5. หลีกเลี่ยงให้ลูกเดินในที่เปลี่ยว แหล่งเสื่อมโทรม ขึ้นรถแท็กซี่ที่ติดฟิล์มสีเข้มกว่าปกติ รวมถึงสถานที่สาธารณะยามค่ำคืน

6. สอนให้ลูกวิ่งหนีและตะโกนขอความช่วยเหลือทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์การณ์ไม่น่าไว้ใจ เช่น “ช่วยหนูด้วย” “ช่วยผมด้วย”

7. กรณีที่เป็นเด็กโต คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกมีสติ ไม่ร้องไห้ ตกใจกลัว และรู้จักป้องกันตัวเบื้องต้นในยามฉุกเฉิน เช่น ขว้างสิ่งของใกล้มือใส่คนร้าย เบี่ยงเบนความสนใจ หรือโจมตีจุดที่อ่อนที่สุดของคนร้าย เช่น ดวงตา จากนั้นให้วิ่งหนีให้เร็วที่สุดเพื่อขอความช่วยเหลือ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่ในการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ได้นะคะ


หนังสือนิทาน อย่าไว้ใจนะป๋องแป๋ง นิทานกิจกรรม พร้อมสติกเกอร์ติดสนุก สอนดูแลป้องกันภัยจากภัยถูกล่วงละเมิดทางเพศ หนังสือสำหรับเด็ก 4-6 ปี

Activity Book ประกอบนิทานแสนสนุก เรียนรู้การดูแลป้องกันตนเองจากภัยถูกล่วงละเมิดทางเพศ สำหรับเด็กปฐมวัย สนุกกับกิจกรรมภายในเล่ม พร้อมสติ๊กเกอร์แสนน่ารัก เสริมทักษะ EF

หนังสือนิทาน ปิงปิงถูกหลอก สอนลูกระวังภัยผู้ไม่หวังดี รู้วิธีรับมือคนแปลกหน้า

นิทานปิงปิง เรื่อง ปิงปิงถูกหลอก 1 ใน 4 เรื่องจากชุด ปิงปิงระวังภัย เตรียมความพร้อมลูกรู้วิธีป้องกันตัวเองจากคนแปลกหน้า ผ่านเรื่องราวของปิงปิง ที่ไปเที่ยวกับคุณแม่ ขณะที่คุณแม่กำลังรับโทรศัพท์ ปิงปิงเห็นตัวตลกถือลูกโป่งผ่านไป ปิงปิงอยากได้ลูกโป่งจึงเดินตามไป เพราะคิดว่าใกล้นิดเดียว และไปไม่นาน แต่คิวลูกโป่งยาวกว่าที่คิด และมีคนแปลกหน้ามาชวนปิงปิงไปเอาลูกโป่งอีกที่นึง ซึ่งมีลูกโป่งเยอะกว่า ปิงปิงจะทำอย่างไร?

เพราะเด็กไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถูกหลอกได้ง่าย เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณแม่ต้องเตรียมความพร้อม ให้ลูกมีทักษะชีวิต โดยให้หนังสือนิทาน เป็นอีก 1 วิธีป้องกันลูกหาย ที่จะเป็นการยกตัวอย่างให้ลูกเห็นว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และตัวละครมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

เรียบเรียง : พี่คิดส์ซี่

ข้อมูลอ้างอิง : https://goo.gl/zb7VTx

 อย่าตามใจลูกเกินไป! วิธีสร้าง Self-Esteemให้ลูกเก่งและมั่นใจ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ!

self-esteem

self esteem

ปัญหาที่พบบ่อยของ ปัญหาพ่อแม่มีฐานะ คือ การกลัวลูกต้องเผชิญความลำบาก ไม่ฉลาดเท่าเพื่อน หรือมีข้าวของไม่เท่าคนอื่น จึงพยายามดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างเต็มที่ ตามใจทุกอย่าง คอยช่วยเหลือทุกเรื่อง แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อการพัฒนาการของลูก เพราะเด็กจะขาดโอกาสใน ฝึกแก้ปัญหาด้วยตนเอง ไม่ได้ ฝึกกำหนดเป้าหมาย  ในชีวิตเอง เนื่องจากพ่อแม่มักจะเป็นฝ่ายบอกหรือช่วยทำแทนเสมอ

การที่พ่อแม่ป้องกันไม่ให้ลูกต้องเจอเรื่องยากลำบาก เข้าใจว่าเป็นการแสดงความรักและห่วงใยลูก แต่กลับส่งผลเสียในระยะยาว เพราะลูกจะไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่รู้จักแก้ปัญหาหรือรับมือกับอุปสรรคในชีวิต เมื่อต้องออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองและเผชิญโลกความเป็นจริง ก็มักจะรู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือแม้กระทั่งท้อยอมแพ้อย่างง่ายดาย เพราะไม่เคยฝึกฝนทักษะเหล่านี้มาก่อน

อีกทั้งการที่พ่อแม่ตามใจ ประคบประหงมลูกทุกเรื่องแบบนี้ จะส่งผลให้เด็กมี  การสร้าง self esteem ในเด็ก หรือความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ ทั้งที่ self esteem นั้นสำคัญมาก เพราะเป็นรากฐานของความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต และยังเป็นพื้นฐานใน ทักษะสมอง EF (Executive Functions) ซึ่งเป็นความสามารถในการควบคุมตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ การที่พ่อแม่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้ลองทำอะไรเองบ้าง จึงเท่ากับเป็นการปิดกั้นพัฒนาการด้านนี้ของลูกไปโดยไม่รู้ตัว

การสร้าง self esteem ในเด็ก ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เพียงแค่พ่อแม่พูดสอน แต่ลูกจะต้องได้ลงมือทำ ลองผิดลองถูก เจ็บตัว เลอะเทอะ เหนื่อย และเผชิญความลำบากด้วยตนเอง โดยมีพ่อแม่คอยให้กำลังใจ ไม่ใช่เดินนำหน้าบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง หน้าที่ของพ่อแม่คือการแนะนำและคอยระวังความปลอดภัยให้ลูก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องเป็นอันตรายถึงชีวิต ก็ควรปล่อยให้ลูกได้ลองคิดและตัดสินใจแก้ปัญหากันเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเล่นหรือการทำงาน เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลดีต่อการพัฒนาสมองและบุคลิกนิสัยของลูกทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกอยากปีนต้นไม้ แทนที่พ่อแม่จะรีบห้ามด้วยความกลัวลูกตก เพราะมองว่าเป็นเรื่องอันตราย ควรแนะนำวิธีปีนที่ปลอดภัยแทน เช่น ให้เลือกกิ่งที่แข็งแรง ปีนขึ้นทีละขั้น ระวังอย่าปีนสูงเกินไป หรือถ้าลูกอยากทำอาหาร ก็ให้เขาได้มีส่วนร่วมตั้งแต่การวางแผนคิดเมนู ไปจ่ายตลาดเลือกซื้อวัตถุดิบ จนถึงลงมือทำเอง โดยมีพ่อแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ การได้ฝึกทักษะแบบนี้บ่อยๆ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ความภาคภูมิใจในตัวเอง และทักษะการแก้ปัญหาให้กับลูก

เราสามารถเริ่มฝึกลูกให้ทำอะไรด้วยตัวเองได้ ฝึกเด็กวัยอนุบาล โดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว เช่น ให้ลูกเป็นคนเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่เอง ชวนลูกมาช่วยปลูกต้นไม้ ทำอาหารง่ายๆ อย่างไข่เจียว หรือพาไปปีนต้นไม้เก็บผลไม้ เป็นต้น ยิ่งได้ฝึกบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำอย่างยิ่ง หากอยากให้ลูกเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองและรู้จักควบคุมตนเองได้ดี

สิ่งสำคัญคือ อย่ากลัวลูกทำงานเหนื่อย กลัวลูกลำบาก เพราะการได้ฝ่าฟันเรื่องยากๆ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ และเป็นบทเรียนสำคัญให้ลูกได้เรียนรู้ว่าความสำเร็จต้องอาศัยความพยายาม ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องลงมือทำ การให้ลูกได้ผ่านประสบการณ์ท้าทายและอุปสรรคบ้าง จะเป็นการบ่มเพาะให้ลูกมีความอดทน มุ่งมั่น สู้ชีวิต ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติจำเป็นที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิต

ดังนั้น พ่อแม่ควรเปิดใจกว้าง ยอมให้ลูกได้ลองทำในสิ่งที่อยากทำ ภายใต้การดูแลที่เหมาะสม อย่าห้ามหรือคอยตามใจจนเกินไป  รู้จักผ่อนปรนและเข้าใจธรรมชาติของเด็กในแต่ละช่วงวัย เมื่อลูกได้ฝึกฝนทักษะการเรียนรู้และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าคิดกล้าตัดสินใจ และพร้อมรับมือกับทุกเรื่องราวในชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีความสุข